วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ทำงานไปตามบทบาทหน้าที่โดยไม่ต้องเคลมความสำคัญ

             ผมไปเห็นเพจ ๆ หนึ่งลงแคปชั่นประมาณว่าเข็มวินาทีเคลมความสำคัญของตัวเองปนความน้อยอกน้อยใจว่า ตัวเองทำงานหนักต้องเดินหน้ามากกว่าเข็มนาทีถึง 60 ครั้งถึงจะผลักดันให้เข็มนาทีกระดิกไปได้หนึ่งครั้ง

            หรือแม้แต่เข็มนาทีก็อาจจะเคลมความสำคัญของตัวเองต่อไปได้อีกว่าฉันก็ต้องทำงานหนักเหมือนกันเพราะกว่าจะดันเข็มชั่วโมงให้ขยับไปหนึ่งชั่วโมง ฉันต้องกระดิกเดินไปข้างหน้าตั้ง 60 ครั้งเหมือนกัน

            คนที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองทำงานหนักกว่าคนอื่นเมื่ออ่านข้อความนี้แล้วก็อาจจะเห็นด้วยทันทีเพราะเอาการทำงานของเข็มวินาทีมาเทียบกับตัวเอง

          จริงหรือครับที่ว่าเข็มวินาทีทำงานหนักกว่าเข็มนาที และเข็มนาทีทำงานหนักกว่าเข็มชั่วโมง?

            วันนี้เราก็มักจะเจอคนที่ชอบคิดว่าตัวเองทำงานหนักมากกว่าคนอื่น และชอบคิดเคลมงานของคนอื่นว่าเกิดขึ้นได้เพราะฉันทำงานหนักกว่าอยู่บ่อย ๆ เหมือนกันนะครับ

          คำถามคือ ถ้าไม่มีเข็มวินาที เข็มนาทีและเข็มชั่วโมงจะเดินต่อไปไม่ได้จริงหรือ?

            เคยเห็นนาฬิกาที่มีแต่เข็มนาทีกับเข็มชั่วโมงบ้างไหมครับ

          คำถามต่อมาคือถ้าไม่มีเข็มวินาทีเราจะรู้นาทีและชั่วโมงได้ยังไง

            ก็ตอบว่ารู้ได้ด้วย “ระบบ” ของนาฬิกาแต่ละเรือนครับ

            นาฬิกาเดินด้วยระบบ ซึ่งระบบจะเป็นตัวกำหนดการเดินของเข็มวินาที เข็มนาที และเข็มชั่วโมง ถ้าไม่มีระบบที่ดี หรือระบบรวนแต่ละเข็มก็จะเดินรวนตามไปด้วย จะทำให้ผลลัพธ์ที่ต้องการคือการบอกเวลาผิดพลาดตามไปด้วย

            แต่ละเข็มจึงทำหน้าที่ของตัวเองตามระบบที่วางไว้ ไม่มีเข็มไหนที่ทำงานหนักกว่าเข็มไหนทุกเข็มต้องเดินหน้าไปตามหน้าที่ของตัวเอง

            เมื่อถูกวางให้เป็นเข็มแบบใดก็ย่อมจะต้องเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตัวเองแล้วว่าตัวเองจะต้องมีบทบาทหน้าที่อย่างไรก็ต้องเดินไปตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด

            คนทำงานก็เช่นเดียวกัน เมื่อตัดสินใจทำงานในตำแหน่งใดแล้วก็ต้องทำงานไปตามระบบ ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับให้ดีที่สุดตามที่องค์กรวางไว้

ไม่ควรกล่าวอ้างเคลมว่าที่งานของหัวหน้าสำเร็จเป็นเพราะฉันที่ทำงานหนักกว่าหัวหน้า ถ้าไม่มีฉันหัวหน้าก็ทำงานนี้ไม่ได้

          คิดแบบนี้เมื่อไหร่ก็แปลว่าคนที่คิดกำลังคิดและมองจากด้านของตัวเองเท่านั้นเป็นหลัก

จะเกิดความคิดแบบฉันสิแน่ แกสิแย่ หรือ I’m OK You are not OK.

          และถ้าทุกคนทุกระดับคิดเข้าข้างตัวเองอย่างนี้ทีมเวิร์คมีปัญหาแน่นอนเพราะต่างคนต่างก็จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ความสามัคคีก็ไม่เกิด ทีมงานนั้นจะสร้างผลงานดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้ไหมก็คงต้องไปคิดต่อกันเอาเอง

           ถ้าผู้รักษาประตูบอกว่าฉันทำงานหนักมากเพราะต้องคอยป้องกันไม่ให้ลูกฟุตบอลเข้าประตู ถ้าศูนย์หน้าบอกว่าฉันสิเหนื่อยกว่าทุกคนเพราะต้องวิ่งขึ้นลงทั่วสนาม และทุกคนต่างก็คิดแบบเดียวกัน 

          ทีมนี้จะเป็นแชมป์ได้ไหม

ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนถ้าทำงานด้วยมีอิทธิบาทสี่คือรักในงานที่ทำ, มีความพากเพียรในงานที่ทำ, เอาใจใส่ในงานที่ทำ, พัฒนาปรับปรุงงานที่ทำให้ดีขึ้นอยู่เสมอ ๆ

ผมเชื่อว่าคน ๆ นั้นจะมีคุณค่าในตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องไปเคลมไปบอกกับใคร ๆ ว่าฉันทำงานหนักกว่าคนอื่นหรอกครับ

เพราะผลงานของเราจะส่งประกายออกมาให้คนอื่นได้เห็นในที่สุด

และถ้าหัวหน้าหรือที่ทำงานปัจจุบันยังมองไม่เห็นคุณค่าของเราก็คงถึงเวลาเรือเล็กควรออกจากฝั่งเพื่อไปพิสูจน์คุณค่าของตัวเราแล้วล่ะครับ

                                    ...............................