ผมไปเห็นเพจ ๆ หนึ่งลงแคปชั่นประมาณว่าเข็มวินาทีเคลมความสำคัญของตัวเองปนความน้อยอกน้อยใจว่า ตัวเองทำงานหนักต้องเดินหน้ามากกว่าเข็มนาทีถึง 60 ครั้งถึงจะผลักดันให้เข็มนาทีกระดิกไปได้หนึ่งครั้ง
หรือแม้แต่เข็มนาทีก็อาจจะเคลมความสำคัญของตัวเองต่อไปได้อีกว่าฉันก็ต้องทำงานหนักเหมือนกันเพราะกว่าจะดันเข็มชั่วโมงให้ขยับไปหนึ่งชั่วโมง
ฉันต้องกระดิกเดินไปข้างหน้าตั้ง 60 ครั้งเหมือนกัน
คนที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองทำงานหนักกว่าคนอื่นเมื่ออ่านข้อความนี้แล้วก็อาจจะเห็นด้วยทันทีเพราะเอาการทำงานของเข็มวินาทีมาเทียบกับตัวเอง
จริงหรือครับที่ว่าเข็มวินาทีทำงานหนักกว่าเข็มนาที
และเข็มนาทีทำงานหนักกว่าเข็มชั่วโมง?
วันนี้เราก็มักจะเจอคนที่ชอบคิดว่าตัวเองทำงานหนักมากกว่าคนอื่น
และชอบคิดเคลมงานของคนอื่นว่าเกิดขึ้นได้เพราะฉันทำงานหนักกว่าอยู่บ่อย ๆ เหมือนกันนะครับ
คำถามคือ ถ้าไม่มีเข็มวินาที
เข็มนาทีและเข็มชั่วโมงจะเดินต่อไปไม่ได้จริงหรือ?
เคยเห็นนาฬิกาที่มีแต่เข็มนาทีกับเข็มชั่วโมงบ้างไหมครับ
คำถามต่อมาคือถ้าไม่มีเข็มวินาทีเราจะรู้นาทีและชั่วโมงได้ยังไง
ก็ตอบว่ารู้ได้ด้วย
“ระบบ” ของนาฬิกาแต่ละเรือนครับ
นาฬิกาเดินด้วยระบบ
ซึ่งระบบจะเป็นตัวกำหนดการเดินของเข็มวินาที เข็มนาที และเข็มชั่วโมง
ถ้าไม่มีระบบที่ดี หรือระบบรวนแต่ละเข็มก็จะเดินรวนตามไปด้วย จะทำให้ผลลัพธ์ที่ต้องการคือการบอกเวลาผิดพลาดตามไปด้วย
แต่ละเข็มจึงทำหน้าที่ของตัวเองตามระบบที่วางไว้
ไม่มีเข็มไหนที่ทำงานหนักกว่าเข็มไหนทุกเข็มต้องเดินหน้าไปตามหน้าที่ของตัวเอง
เมื่อถูกวางให้เป็นเข็มแบบใดก็ย่อมจะต้องเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตัวเองแล้วว่าตัวเองจะต้องมีบทบาทหน้าที่อย่างไรก็ต้องเดินไปตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด
คนทำงานก็เช่นเดียวกัน
เมื่อตัดสินใจทำงานในตำแหน่งใดแล้วก็ต้องทำงานไปตามระบบ ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับให้ดีที่สุดตามที่องค์กรวางไว้
ไม่ควรกล่าวอ้างเคลมว่าที่งานของหัวหน้าสำเร็จเป็นเพราะฉันที่ทำงานหนักกว่าหัวหน้า
ถ้าไม่มีฉันหัวหน้าก็ทำงานนี้ไม่ได้
คิดแบบนี้เมื่อไหร่ก็แปลว่าคนที่คิดกำลังคิดและมองจากด้านของตัวเองเท่านั้นเป็นหลัก
จะเกิดความคิดแบบฉันสิแน่
แกสิแย่ หรือ I’m
OK You are not OK.
และถ้าทุกคนทุกระดับคิดเข้าข้างตัวเองอย่างนี้ทีมเวิร์คมีปัญหาแน่นอนเพราะต่างคนต่างก็จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ความสามัคคีก็ไม่เกิด ทีมงานนั้นจะสร้างผลงานดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้ไหมก็คงต้องไปคิดต่อกันเอาเอง
ถ้าผู้รักษาประตูบอกว่าฉันทำงานหนักมากเพราะต้องคอยป้องกันไม่ให้ลูกฟุตบอลเข้าประตู ถ้าศูนย์หน้าบอกว่าฉันสิเหนื่อยกว่าทุกคนเพราะต้องวิ่งขึ้นลงทั่วสนาม และทุกคนต่างก็คิดแบบเดียวกัน
ทีมนี้จะเป็นแชมป์ได้ไหม
ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนถ้าทำงานด้วยมีอิทธิบาทสี่คือรักในงานที่ทำ,
มีความพากเพียรในงานที่ทำ, เอาใจใส่ในงานที่ทำ, พัฒนาปรับปรุงงานที่ทำให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
ๆ
ผมเชื่อว่าคน ๆ
นั้นจะมีคุณค่าในตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องไปเคลมไปบอกกับใคร ๆ
ว่าฉันทำงานหนักกว่าคนอื่นหรอกครับ
เพราะผลงานของเราจะส่งประกายออกมาให้คนอื่นได้เห็นในที่สุด
และถ้าหัวหน้าหรือที่ทำงานปัจจุบันยังมองไม่เห็นคุณค่าของเราก็คงถึงเวลาเรือเล็กควรออกจากฝั่งเพื่อไปพิสูจน์คุณค่าของตัวเราแล้วล่ะครับ
...............................