วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ละทิ้งหน้าที่แบบไหนที่มีเหตุอันสมควรหรือไม่สมควร ?


            การกระทำความผิดทางวินัยตามกฎหมายแรงงานเรื่องหนึ่งที่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงที่หากลูกจ้างกระทำความผิดนี้นายจ้างจะสามารถบอกเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย (ตามอายุงาน) และไม่ต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า

          นั่นคือเรื่อง “การละทิ้งหน้าที่” หรือภาษาคนทำงานจะเรียกว่า “การขาดงาน” ครับ

            คือตามมาตรา 119 วงเล็บ 5 ของกฎหมายแรงงานเขียนไว้อย่างนี้

          มาตรา ๑๑๙  นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้….

….(๕)  ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร….

นี่ผมคัดมาเพียงส่วนที่พูดถึงความผิดของลูกจ้างในเรื่องการละทิ้งหน้าเท่านั้นนะครับ รายละเอียดมากกว่านี้ให้ท่านเข้าไปที่กูเกิ้ลแล้วพิมพ์คำว่ากฎหมายแรงงานนะครับ

จากความผิดของลูกจ้างในข้อนี้มักจะมีข้อถกเถียงกันอยู่บ่อย ๆ ว่าแล้วการละทิ้งหน้าที่แบบไหนที่ถือว่า “มีเหตุอันสมควร” หรือการละทิ้งหน้าที่แบบไหนถึงจะ “ไม่มีเหตุอันสมควร”

ผมก็เลยขอประมวลตัวอย่างมาเพื่อพอเป็นไอเดียสำหรับท่านดังนี้ครับ

การละทิ้งหน้าที่ที่น่าจะถือได้ว่ามีเหตุอันสมควร

1.      มีเหตุเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ฝนตกหนักทางขาด หรือเกิดน้ำท่วมจนลูกจ้างไม่สามารถเดินทางมาทำงานได้ตามปกติ

2.      ลูกจ้างป่วยหนักจนมาทำงานไม่ได้

3.      หยุดไปช่วยงานศพบุพการี, คู่สมรส, บุตร

4.      มีเหตุจำเป็นทางครอบครัว เช่น ต้องดูแลรักษาพยาบาลบุพการี, คู่สมรส, บุตร ที่ป่วยหนักมากจำเป็นต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

5.      ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวไว้

6.      ถูกนายจ้างสั่งให้หยุดงานไปก่อน  เช่น ลูกจ้างถูกตำรวจจราจรยึดใบอนุญาตขับขี่ หัวหน้าจึงบอกให้หยุดพักงานไปก่อนจนกว่าจะได้รับใบอนุญาตขับขี่กลับคืนมา

7.      ถูกนายจ้างแจ้งเลิกจ้างไม่ให้มาทำงานโดยให้มีผลในวันรุ่งขึ้น ทำให้ลูกจ้างหยุดงานในวันรุ่งขึ้นตามคำสั่งนายจ้าง

          ซึ่งการละทิ้งหน้าที่ของลูกจ้างตามตัวอย่างข้างต้นนี้จะถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ (หรือเรามักจะเรียกว่าขาดงาน) โดยมีเหตุอันสมควรครับ

การละทิ้งหน้าที่ที่น่าจะถือว่า “ไม่มีเหตุอันสมควร”

            การละทิ้งหน้าที่ของลูกจ้างดังต่อไปนี้แหละครับที่น่าจะเข้าข่ายการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งถ้าหากละทิ้งหน้าที่การงานไปตั้งแต่สามวันทำงานติดต่อกัน (ไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตาม) ก็จะทำให้นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าครับ

            มีดังนี้

1.      ลูกจ้างลงเวลาเข้าทำงานแต่ไม่ปฏิบัติงาน เช่น มารูดบัตรลงเวลามาทำงานตั้งแต่เช้า แต่แทนที่จะทำงานกลับโดดงานไปเที่ยวหรือกลับไปนอนตีพุงอยู่บ้านซะงั้น แม้จะมารูดบัตรลงเวลาทำงานก็จริงแต่ถือว่า “ละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร” ครับ

2.      นัดหยุดงานโดยไม่ชอบ โดยไม่มีปี่มีขลุ่ยอยู่ดี ๆ ก็ชักชวนเพื่อน ๆ ให้นัดหยุดงานวันรุ่งขึ้นเพื่อประท้วงหัวหน้าโดยไม่ได้มีการบอกกล่าวหรือยื่นข้อเรียกร้องใด ๆ ให้นายจ้างรู้มาก่อน

3.      หยุดงานเพราะเมาค้างมาจากเมื่อคืน พูดง่าย ๆ ภาษาคอเหล้าว่า “แฮ๊งค์” น่ะครับ ตื่นมาทำงานไม่ไหวก็เลยหยุดงานซะงั้น

4.      บริษัทมีคำสั่งย้ายโดยชอบให้พนักงานไปปฏิบัติงานที่อื่นซึ่งบริษัทมีอำนาจออกคำสั่งได้ตามกฎระเบียบของบริษัท แต่พนักงานที่มีหน้าที่ปฏิบัติงานตามคำสั่งของบริษัทกลับดื้อแพ่งไม่ยอมย้ายไปทำงานตามคำสั่ง อย่างนี้ก็ถือว่าพนักงานคนนั้นละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควรครับ

5.      แจ้งลาป่วยเท็จ แม้ว่าบริษัทจะอนุมัติให้ลาป่วยไปแล้ว แต่ต่อมาบริษัททราบความจริงภายหลังว่าพนักงานไม่ได้ป่วยจริงจึงติดต่อแจ้งให้กลับมาทำงาน แต่พนักงานก็ไม่กลับมาทำงานตามคำสั่ง อย่างนี้ก็ถือว่าพนักงานคนนั้นละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร แถมยังโดนหนังสือตักเตือนเรื่องการแจ้งลาป่วยเท็จอีกต่างหากนะครับ

6.      พนักงานลาโดยไม่ชอบแล้วยังหยุดงาน เช่น ตามระเบียบของบริษัทแจ้งว่าต้องยื่นใบลาพักร้อนล่วงหน้าต่อผู้บังคับบัญชาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์แล้วจะต้องให้ผู้บังคับบัญชาอนุมัติเสียก่อน แต่พนักงานกลับยื่นใบลาพักร้อนวันนี้แล้ววางไว้บนโต๊ะหัวหน้าโดยให้มีผลหยุดพักร้อนในวันรุ่งขึ้นแล้วหายไป 5 วัน อย่างนี้ก็ถือว่าพนักงานละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควรนะครับ เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของบริษัท ซึ่งบริษัทมีสิทธิไม่อนุมัติการลาในครั้งนี้จึงถือเป็นการละทิ้งหน้าที่ (ขาดงาน) โดยไม่มีเหตุอันสมควรครับ

        จากตัวอย่างข้างต้น ปัญหาการตีความจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าทั้งนายจ้างและลูกจ้างต่างรู้และเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตัวเองและมีการสื่อสารที่ดีต่อกัน

            เช่นลูกจ้างมีเหตุจำเป็นต้องหยุดงานก็บอกกล่าวนายจ้างให้เขาได้รับรู้เหตุผลความจำเป็นและทำตามระเบียบของบริษัท ในขณะที่นายจ้างก็ต้องไม่เขี้ยวไม่แล้งน้ำใจจนเกินไปเมื่อลูกจ้างมีเหตุจำเป็นมาขอลาหยุด

            ถ้าลูกจ้างคอยแต่จะจ้องหาวันโดดงานอยากได้เงินเดือนเยอะ ๆ แต่ไม่อยากจะมาทำงานอู้ได้เป็นอู้ โดดงานได้เป็นโดดอย่างงี้ก็ถือว่าลูกจ้างเอาเปรียบบริษัทมากเกินไปไหม

            ในขณะที่ฝ่ายนายจ้างก็ใจร้ายกับลูกจ้าง เช่น  เขามาขอลาหยุดเพื่อไปดูแลลูกที่ป่วยแอดมิตอยู่ที่โรงพยาบาลก็ยังไม่ยอมอนุญาต แถมบอกอีกว่า “คุณไม่ใช่หมอหรือพยาบาลนี่ คุณไปเฝ้าลูกคุณก็ทำอะไรไม่ได้หรอกเสียเวลางานเปล่า ๆ เพราะฉะนั้นพี่ไม่อนุญาตให้ลาไปเฝ้าลูกคุณหรอกกลับมาทำงานดีกว่า!!” (ผมเคยเจอคำพูดแบบนี้ด้วยตัวเองมาแล้วนะครับ)

             อย่างงี้มันก็ใจจืดใจดำกับลูกน้องมากเกินไปไหมล่ะ?

            เพราะต่างฝ่ายต่างขาดคำว่า “ใจเขา-ใจเรา” อย่างนี้แหละครับถึงได้ต้องมีคดีไปให้ศาลท่านตัดสินหรือต้องมาตีความกันวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้

            เมื่อรู้อย่างนี้แล้วทั้งนายจ้างและลูกจ้างลองคิดทบทวนแล้วลองปรับปรุงอะไรให้ดีขึ้นเพื่อลดปัญหาแรงงานสัมพันธ์จะได้ทำงานกันอย่างมีความสุขใจทั้งสองฝ่ายจะดีกว่าไหมครับ ?

……………………………