วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558

องค์กรของท่านใช้หลักเกณฑ์หรือหลักกูในการบริหารงานบุคคล

            ประเทศชาติมีกฎหมาย องค์กรต่าง ๆ ก็ต้องมีกฎระเบียบต่าง ๆ เช่นเดียวกัน เหตุผลของการมีกฎหมายหรือกฎระเบียบต่าง ๆ ขึ้นมาก็เพื่อให้การใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมเกิดความสงบสุขไม่เกิดการละเมิดเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน เพราะในคนหมู่มากก็ย่อมจะมีคนที่ไม่ดีแฝงปะปนอยู่บ้างเป็นธรรมดา

            เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่แม้ว่าองค์กรจะมีกฎระเบียบในเรื่องต่าง ๆ ที่ชัดเจนแล้วก็ตาม ยังพบว่ามีผู้บริหารหรือพนักงานตั้งกฎเกณฑ์ของตัวเองซ้อนกฎระเบียบขององค์กรขึ้นมาที่ผมขอเรียกแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่า “หลักกู” หรือจะพูดให้เพราะ ๆ หน่อยก็ต้องเรียกว่าหลักดุลพินิจ ซึ่งหลักกูนี่แหละครับจะเกิดปัญหาในการบริหารงานบุคคลตามมาอีกไม่น้อยเลย เช่น....

            บริษัทแห่งหนึ่งมีหลักเกณฑ์ในการทดลองงานก็คือ เมื่อรับพนักงานใหม่เข้ามาจะต้องมีการทดลองงานไม่เกิน 120 วัน และเมื่อครบ 90 วัน ฝ่ายบุคคลก็จะส่งแบบประเมินผลการทดลองงานให้กับหัวหน้างานในหน่วยงานนั้น ๆ เป็นผู้ประเมิน โดยมีหลักเกณฑ์ก็คือ....

ผลการปฏิบัติงานโดยภาพรวมพนักงานทดลองงานจะต้องได้คะแนนรวมไม่ต่ำกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ บริษัทจึงจะบรรจุให้เป็นพนักงานประจำ แต่ถ้าพนักงานทดลองงานคนใดมีผลการประเมินต่ำกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ผู้บริหารในหน่วยงานนั้น ๆ จะต้องเรียกพนักงานทดลองงานมาแจ้งผลและให้พนักงานทดลองงานเขียนใบลาออกไปเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียประวัติว่าถูกเลิกจ้างเนื่องจากผลการปฏิบัติงานในระหว่างทดลองงานไม่ผ่านเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด

หลักเกณฑ์นี้มีการแจ้งให้พนักงานทั้งบริษัทรับทราบ และตัวพนักงานทดลองงานเองก็รับทราบเงื่อนไขนี้ตั้งแต่วันเข้าปฐมนิเทศจากบริษัทแล้วอีกด้วย

ปัญหาในเรื่องหลักกูจะเกิดขึ้นก็คือ....

ในหน่วยงาน ก มีพนักงานทดลองงานเข้ามาทำงานพร้อม ๆ กัน 2 คน คนแรกมีผลการประเมินในภาพรวมได้ 72 เปอร์เซ็นต์

คนที่สองมีผลการประเมินภาพรวมได้ 69 เปอร์เซ็นต์ !!

คำถามก็คือ “ถ้าหากท่านเป็นผู้บังคับบัญชาและหัวหน้าของพนักงานทดลองงานทั้งสองคนนี้..ท่านจะตัดสินใจยังไง ?”

ผมยกกรณีข้างต้นนี้ในห้องอบรมอยู่เสมอ ๆ และคำตอบของ Line Manager ส่วนใหญ่ก็คือ....

“ต่อทดลองงาน” ครับ

ทั้ง ๆ ที่ตามกฎระเบียบการทดลองงานของบริษัทตามตัวอย่างข้างต้นไม่มีการต่อทดลองงานเลย มีแค่ผ่าน 75% ก็บรรจุเป็นพนักงานประจำ หรือ ไม่ผ่าน 75% ก็ต้องเรียกพนักงานทดลองงานมาแจ้งผลและให้เขาเขียนใบลาออกเท่านั้นนะครับ !!??

พอผมถามต่อไปว่าถ้าหัวหน้างานตัดสินใจต่อทดลองงานแล้วจะต่อทดลองงานยังไงดี จะต่อทั้งสองคน หรือต่อทดลองงานเฉพาะคนแรกที่ได้คะแนนรวม 72% และไม่ต่อคนที่ได้คะแนน 69% คราวนี้คำตอบก็จะเริ่มไปตาม “ความรู้สึก” ของแต่ละคน เพราะบางคนก็ตัดสินใจต่อทดลองงานทั้งสองคน แต่บางคนก็ตัดสินใจต่อทดลองงานคนแรกและไม่ต่อคนที่สอง

ที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้นนี่แหละครับคือการบริหารงานบุคคลด้วย “หลักกู” ที่ไม่ใช่ “หลักเกณฑ์”

ซึ่งหากองค์กรไหนยังบริหารงานบุคคลด้วยหลักกูก็จะเกิดปัญหาในเรื่องคนอยู่เสมอ ๆ  

เพราะถ้าผมเป็นพนักงานทดลองงานคนที่ได้ 69% และไม่ได้ต่อทดลองงานแต่หัวหน้าบอกให้เขียนใบลาออกตามระเบียบของบริษัท ผมก็คงจะต้องถามหัวหน้าว่า....

“ทำไมพี่ถึงต่อทดลองงานให้เพื่อนผม (ที่ได้ 72%) แล้วทำไมพี่ถึงไม่ต่อทดลองงานให้ผมบ้างล่ะ” ??

หัวหน้าจะตอบคำถามนี้ยังไงดีครับ ?

คำตอบที่น่าจะดีที่สุดก็คือ “ก็เพื่อนของคนเขาได้คะแนนรวมสูงกว่าคุณนี่นา คุณได้คะแนนน้อยกว่าเขาพี่ก็เลยไม่ต่อทดลองงานให้คุณ”

แต่ถ้าพนักงานทดลองงานคนนี้ถามกลับมาอีกว่า “ใช่ครับ..ผมยอมรับว่าคะแนนรวมของผมน้อยกว่าของเพื่อน แต่ถ้าตามระเบียบของบริษัทแล้วทั้งเพื่อนผมและผมต้องเขียนใบลาออกด้วยกันทั้งคู่ไม่ใช่หรือครับ เพราะระเบียบบอกไว้ว่าถ้าใครมีผลการปฏิบัติงานในภาพรวมแล้วต่ำกว่า 75% ก็ถือว่าไม่ผ่านทดลองงานและต้องเขียนใบลาออกนี่ครับ อย่างนี้พี่กำลังปฏิบัติแบบสองมาตรฐานแล้วนะครับ”

คราวนี้หัวหน้าจะตอบคำถามพนักงานทดลองงานคนนี้ยังไงดีล่ะครับ

จากที่ผมยกตัวอย่างที่เป็นเรื่องจริงนี่แหละครับ ที่มักจะเป็นปัญหาในการบริหารงานบุคคลสำหรับหัวหน้างาน (Line Manager) 

นั่นคือ หัวหน้างานมักจะไปตั้งหลักเกณฑ์ของตัวเอง (ที่ผมเรียกว่า “หลักกู”) ขึ้นมาในหน่วยงานโดยไม่สนใจที่จะทำตามหลักเกณฑ์ของบริษัทและจะอ้างเหตุผลเพื่อรองรับการตัดสินใจด้วยหลักกู เช่นในกรณีนี้ก็จะอ้างว่าถ้าทำตามระเบียบก็จะไม่มีคนมาทำงาน, ต้องมาเสียเวลาสัมภาษณ์หาคนใหม่สอนงานใหม่กันอีก ฯลฯ จึงเกิดปัญหาในเรื่องการบริหารคนอยู่เสมอ ๆ

เหมือนอย่างในกรณีตัวอย่างข้างต้นที่พนักงานทดลองงานก็จะถูกปฏิบัติในแต่ละฝ่ายไม่เหมือนกัน เพราะฝ่ายที่ตั้งหลักกูขึ้นมาเพื่อต่อทดลองงานก็จะต่อทดลองงานกันไปแถมระยะเวลาต่อทดลองงานจะกี่เดือนมากหรือน้อยก็กำหนดไปตามใจฉัน (ตามใจหัวหน้า) อีกต่างหาก ส่วนฝ่ายไหนยึดระเบียบบริษัทก็จะถูกมองว่าเป็นหัวหน้างานใจร้ายสู้หัวหน้าอีกฝ่ายหนึ่งที่เขายังให้โอกาสต่อทดลองงานไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างใช้หลักกูแทนหลักเกณฑ์อย่างนี้ก็วุ่นกันทั้งบริษัทจริงไหมครับ

ดังนั้น ผมถึงอยากให้หัวหน้างานหรือ Line Manager หันกลับมาให้ความสำคัญของ “หลักเกณฑ์” มากกว่า “หลักกู” ครับ

ซึ่งถ้าหัวหน้างานยึดหลักเกณฑ์เป็นหลัก ก็จะมีการปฏิบัติกับพนักงานทดลองงานทั้งสองคนนี้แบบเดียวกันคือต้องให้ออกทั้งสองคนครับ แม้พนักงานจะไม่พอใจบ้างแต่เขาก็จะไม่สับสนและไม่บอกว่าหัวหน้าสองมาตรฐานจริงไหมครับ

แต่ถ้าหากหัวหน้างานเห็นว่าหลักเกณฑ์ข้างต้นแข็งเกินไป มีแต่เพียง “ผ่าน” หรือ “ไม่ผ่าน” ทดลองงานเท่านั้น หลักเกณฑ์แบบนี้ไม่เหมาะกับยุคสมัยเพราะปัจจุบันหาคนยากและยังต้องมาเสียเวลาสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกกันใหม่แถมยังต้องมาฝึกฝนกันอีกหากใช้หลักเกณฑ์ข้างต้นก็อาจไม่เหมาะกับยุคนี้

หัวหน้างานก็เสนอมาที่ฝ่ายบุคคลเพื่อนำเรื่องนี้มาถกกันสิครับว่าขอแก้ไขหลักเกณฑ์เรื่องการประเมินผลพนักงานทดลองงานกันใหม่ดีไหม เช่น....

ถ้าหากพนักงานทดลองงานคนไหนมีผลการประเมินในภาพรวมได้ 75% ขึ้นไปก็บรรจุเป็นพนักงานประจำตามปกติ แต่ถ้าพนักงานทดลองงานคนไหนมีผลการประเมินในภาพรวมได้ 70-74% ก็ให้โอกาสปรับปรุงตัวโดยบริษัทต่อทดลองงานไปอีก 1 เดือน หรือถ้าพนักงานทดลองงานคนไหนมีผลการประเมินภาพรวมได้ 65-69% ก็ต่อทดลองงาน 2 เดือน แต่ถ้าพนักงานทดลองงานคนไหนมีผลการประเมินในภาพรวมต่ำกว่า 65% บริษัทก็จะแจ้งให้พนักงานคนนั้นเขียนใบลาออกไป เป็นต้น

ซึ่งถ้าหากทุกฝ่ายเห็นชอบตรงกันในการแก้ไขหลักเกณฑ์ให้เป็นไปตามเงื่อนไขใหม่ดังกล่าวก็ประกาศให้พนักงานทุกคนรับทราบและยึดถือปฏิบัติต่อไป

แต่สิ่งสำคัญคือหัวหน้าผู้บริหารทุกหน่วยงานจะต้องยึดถือหลักเกณฑ์ใหม่นี้อย่างเคร่งครัด ไม่ควรมาตั้ง “หลักกู” ขึ้นมาซ้อนหลักเกณฑ์ให้เกิดปัญหาอีก

ถ้าหากองค์กรมีผู้บริหารและพนักงานที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ร่วมกันอย่างนี้แล้ว ปัญหาในการบริหารงานบุคคลแบบสองมาตรฐานจะลดลงได้เยอะเลยนะครับ พนักงานก็จะรู้สึกว่าผู้บริหารยุติธรรมไม่เลือกที่รักมักที่ชังสองมาตรฐาน

อย่าลืมว่าประเทศชาติมีกฎหมาย องค์กรก็มีกฎระเบียบ

ปัญหาในบ้านเราทุกวันนี้เกิดขึ้นก็เพราะยึดหลักกูมากกว่าหลักเกณฑ์ ยึดคำว่า “ทำอะไรตามใจคือไทยแท้” นี่แหละครับ ถึงทำให้เกิดการฝ่าฝืนทำความผิดและเกิดปัญหาขึ้นมากมาย เช่น มอเตอร์ไซค์ย้อนศร, จอดในที่ห้ามจอด, ขายของบนทางเท้า, การรุกล้ำคูคลองสาธารณะ ฯลฯ ด้วยหลักกูง่าย ๆ ว่า “ใคร ๆ เขาก็ทำกัน” ??

ในองค์กรของท่านก็เช่นเดียวกันถ้าผู้บริหารหรือพนักงานต่างก็ยึดหลักกูเอาตามใจฉันเป็นใหญ่โดยไม่คำนึงถือหลักเกณฑ์หรือกฎระเบียบองค์กรนั้นก็ปั่นป่วนวุ่นวายในเรื่องของคนอยู่เสมอแหละครับ

ลองกลับมาสำรวจองค์กรของท่านกันดูนะครับว่าวันนี้ท่านใช้หลักเกณฑ์หรือหลักกูในการบริหารบุคคล !!


………………………………….