วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เซ็นสัญญาจ้างแล้วแต่ไม่ไปทำงาน..บริษัทจะให้จ่ายค่าเสียหายได้หรือไม่ ?

            กรณีตามหัวข้อข้างบนนี้ก็คงจะเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่หลายคนยังสงสัยอยู่ว่าถ้าเซ็นสัญญาจ้างแล้วเราไม่สามารถไปทำงานกับบริษัทที่เราเซ็นสัญญาจ้างได้จะมีผลยังไง

            ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพกันชัด ๆ อย่างนี้นะครับ

            ฉลองไปสมัครงานกับบริษัท ก และในที่สุดบริษัท ก ก็ตกลงรับฉลองเข้าทำงานฉลองก็เซ็นสัญญาจ้างกับบริษัท ก ไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะต้องไปเริ่มงานในวันที่ 1 เดือนหน้า ซึ่งในสัญญาจ้างงานนี้ระบุเงื่อนไขเอาไว้ว่าถ้าฉลองไม่มาเริ่มงานตามสัญญาบริษัทจะปรับค่าเสียหายจากฉลอง 2 เท่าของเงินเดือน (สมมุติว่าบริษัท ก ตกลงให้เงินเดือนฉลองเดือนละ 30,000 บาท ถ้าฉลองไม่มาเริ่มงานตามสัญญาบริษัท ก จะปรับค่าเสียหายจากฉลอง 60,000 บาท)

            ต่อมาฉลองเกิดได้งานที่บริษัท ข อีกแห่งหนึ่งและบริษัท ข ก็จ่ายเงินเดือนให้ดีกว่าบริษัท ก ฉลองก็เลยอยากไปทำงานบริษัท ข มากกว่าบริษัท ก

          นี่ถึงได้เป็นปัญหาว่าถ้าฉลองไม่ไปทำงานที่บริษัท ก ตามสัญญาจ้างฉลองจะต้องจ่ายค่าเสียหายตามสัญญาหรือไม่ ?

            แหม..พอได้ยินเรื่องทำนองนี้แล้วคิดถึงเพลง “ก็เคยสัญญา” ของน้าป้อมอัสนีขึ้นมาทันทีเลยนะครับ เพราะถ้าสัญญาอะไรไว้แล้วไม่มาตามนัดนี่เป็นใครก็คงจะมีเคืองกันบ้างแหละครับ

            กรณีแบบนี้ผมมีข้อคิดอย่างนี้นะครับ....

1. ฉลองควรเข้าไปพบผู้บริหารหรือ HR ของบริษัท ก และบอกเขาไปว่าเราไม่สะดวกจะไปทำงานกับบริษัท ก จริง ๆ เนื่องจากได้งานใหม่ที่มีโอกาสในการเรียนรู้งานและมีความก้าวหน้าซึ่งในอนาคตก็ไม่แน่ว่าฉลองอาจจะนำความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่ได้กลับมาร่วมงานกับบริษัท ก อีกก็เป็นไปได้และต้องขอบคุณบริษัท ก ที่ให้โอกาสให้ฉลองได้เข้ามาร่วมงานในครั้งนี้ พูดง่าย ๆ ก็คือไปบอกกับเขาอย่างตรงไปตรงมาให้เขาได้เข้าใจดีกว่าหายไปเฉย ๆ แล้วไม่มาเริ่มงานตามสัญญา

2. หากฉลองอธิบายเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงแล้ว บริษัท ก ก็ยังคงยืนยัน (และดึงดัน) ที่จะให้ฉลองจ่ายค่าเสียหายให้สองเท่า (คือ 60,000 บาท) ตามสัญญาให้ได้ บริษัท ก ก็คงจะต้องไปฟ้องศาลแรงงานเอาเองแล้วไปพิสูจน์ให้ศาลท่านเห็นว่าการที่ฉลองไม่มาเริ่มงานตามสัญญาจ้างนี้ทำให้บริษัทเกิดความเสียหายอย่างไรเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับศาลจะวินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต่าง ๆ แล้วล่ะครับว่าบริษัท ก จะสามารถเรียกค่าเสียหายจากฉลองได้หรือไม่และเท่าไหร่ ซึ่งแน่นอนว่าบริษัท ก จะต้องเสียเวลาขึ้นโรงขึ้นศาลเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ไปให้ศาลดูคงไม่ใช่ไปศาลครั้งสองครั้งแล้วจบ ก็อยู่ที่ว่าบริษัท ก จะยอมเสียเวลาหรือเปล่าซึ่งก็ไม่แน่นะครับว่าในที่สุดแล้วศาลจะเห็นด้วยกับบริษัท ก หรือไม่ 

คำถามก็มีอยู่ว่าตกลงบริษัท ก ตั้งกิจการขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจของตัวเอง หรือตั้งขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้สมัครงานกันแน่ล่ะครับ สู้เอาเวลาที่จะต้องไปขึ้นศาลไปทำธุรกิจของตัวเองจะดีกว่าหรือไม่

3. ถ้าฉลองจะใช้วิธีศรีธนญชัยก็สามารถจะทำได้ นั่นก็คือฉลองไปเริ่มงานที่บริษัท ก แล้วทำงานไปสัก 2-3 วัน ฉลองก็ยื่นใบลาออกจากบริษัท ก ซึ่งตามระเบียบอาจจะระบุว่าพนักงานที่จะลาออกต้องยื่นใบลาออกล่วงหน้า 30 วัน ฉลองก็ทำตามนั้น (โดยขอผัดผ่อนบริษัท B ไปสัก 1 เดือนซึ่งโดยทั่วไปถ้าฉลองมีคุณสมบัติที่บริษัท B อยากได้จริง ๆ ส่วนใหญ่รอได้อยู่แล้วครับ) หากทำแบบนี้บริษัท ก ก็จะฟ้องร้องค่าเสียหายกับฉลองไม่ได้ แต่ก็อีกแหละครับว่าทำไมไม่พูดกันตรงไปตรงมาจะได้ไม่ต้องมาลับ-ลวง-พรางกันแบบนี้ ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่เลย แถมจะทำให้เสียความรู้สึกกันมากกว่าด้วยซ้ำไป

4. ฉลองทำให้บริษัท ก เกิดความรู้สึกแย่ไปกว่านั้นได้อีกคือ ฉลองก็มาทำงานกับบริษัท ก สัก 2-3 วัน แล้วยื่นใบลาออกวันนี้โดยมีผลวันพรุ่งนี้ โดยไม่ต้องทำตามระเบียบของบริษัท เพราะการที่ลูกจ้างยื่นในลาออกนั้นในทางกฎหมายแรงงานถือว่าลูกจ้างแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างกับนายจ้างหากลูกจ้างระบุวันที่มีผลไว้วันไหนในใบลาออก เมื่อถึงวันที่ระบุไว้ก็จะมีผลให้ลูกจ้างพ้นสภาพได้ทันทีโดยไม่ต้องให้นายจ้างอนุมัติแต่อย่างใด 

ซึ่งหากฉลองทำแบบนี้ก็แน่นอนว่าบริษัท ก ยิ่งจะไม่พอใจมากขึ้นและยังสามารถไปฟ้องศาลแรงงานว่าการที่ฉลองไม่ยื่นใบลาออกตามกฎระเบียบของบริษัทนั้น ทำให้บริษัทเกิดความเสียหายอย่างไรบ้าง คิดเป็นมูลค่าตัวเงินเท่าไหร่เพื่อให้ศาลท่านพิจารณา ซึ่งกรณีนี้ก็จะคล้ายกับการไปฟ้องให้ศาลแรงงานตัดสินตามข้อ 1 ซึ่งอยู่ที่ศาลจะวินิจฉัยต่อไป

       จากที่ผมแชร์มานี้ท่านคงจะพอมีไอเดียแล้วนะครับว่าหากท่านที่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ ท่านควรจะปฏิบัติแบบไหนถึงจะเหมาะสม และในทำนองเดียวกันหากท่านเป็นคนที่ทำงานด้าน HR หรือเป็นฝ่ายบริหารของบริษัท ก ท่านควรจะตัดสินใจอย่างไรถึงจะเหมาะสมเช่นกัน

          สำหรับความเห็นส่วนตัวของผมนั้น การตัดสินใจรับคนเข้าทำงานกับการตัดสินใจแต่งงานนั้นผมว่ามันมีอะไรบางอย่างที่คล้าย ๆ กันก็คือ เมื่อเราตัดสินใจแต่งงานหรือตัดสินใจรับคนเข้าทำงานก็หมายความว่าเราอยากจะใช้ชีวิตร่วมกันระยะยาวและหวังจะเจริญก้าวหน้าไปด้วยกันจริงไหมครับ

            แต่ถ้าแม้ว่าจะตกลงปลงใจว่าจะแต่งงานกันแล้วแจกการ์ดแล้ว แต่มาพบความจริงว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้รักและอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับเราอย่างจริงจัง ก็สู้ตัดใจมองหาอนาคตใหม่ ๆ จะดีกว่าดันทุรังบังคับให้เขามาแต่งงานกับเราแล้วต่างฝ่ายก็อึดอัดหาวเรอผะอืดผะอมกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทั้งสองฝ่าย แล้วในที่สุดก็ไปกันไม่รอดก็ต้องจบลงแบบไม่สวยในที่สุด

            การรับคนเข้าทำงานก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อผู้สมัครเขาไม่อยากมาทำงานกับเราแล้ว ต่อให้บริษัทไปบีบบังคับถึงกับต้องให้เขาทำสัญญาใช้ค่าเสียหาย แล้วจะบังคับเอาตามสัญญาทั้ง ๆ ที่ก็เห็นอนาคตอยู่แล้วว่าไปกันไม่ได้ ก็สู้เอาเวลาไปหาผู้สมัครงานคนใหม่ที่เขาอยากจะมาทำงานกับเราไม่ดีกว่าหรือ  ซึ่งเรามีโอกาสจะได้คนใหม่ที่อาจจะดีกว่าคนที่ปฏิเสธเราในครั้งนี้ก็ได้นะครับ

            ฝากไว้ให้เป็นข้อคิดสำหรับทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้สมัครงานที่จะเซ็นสัญญาจ้าง และบริษัทที่คิดจะทำสัญญาประเภทนี้เอาไว้ด้วยว่าจะควรหรือไม่ และจะมีข้อดีข้อเสียอย่างไร

            แต่ถ้าบริษัทไหนยังเห็นสมควรจะทำสัญญาจ้างทำนองนี้อีกต่อไปก็เอาตามที่สบายใจเลยนะครับ


………………………………………..