วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เราใช้ความรู้สึกหรือเหตุผลในการประเมินผลการปฏิบัติงาน



   
     วันนี้ผมมีคำถามในห้องสัมมนาที่น่าสนใจมาแชร์กันอีกแล้ว...ดังนี้ครับ
สมปอง : มาทำงานสาย กลับตรงเวลา ทำงานดี เสร็จทันตามกำหนด
ตัวอย่าง : สมปองเย็บเสื้อได้ 50 ตัว ตั้งแต่ 8.00-17.00 น.งานดีเรียบร้อย แต่มาสายทุกวัน
สมหวัง : มาเช้า กลับดึก ทำโอที งานช้า งานเสร็จหลังเวลางานเสมอ
ตัวอย่าง : สมหวังเย็บเสื้อได้ 50 ตัว ตั้งแต่ 8.00-19.00 น. มาทำงานตรงเวลางานดีเรียบร้อย แต่ต้องมีโอทีเพิ่ม
หากมีการพิจารณาผลการปฏิบัติงานเพื่อขึ้นเงินเดือนประจำปี หรือจ่ายโบนัสควรจะให้ใครได้ดีกว่ากัน ?
            เมื่อเจอคำถามนี้ หัวหน้างานหลายคนก็คงจะมีคำตอบทันทีไปตามความคิดเห็นของแต่ละคน เช่น
หัวหน้างานคนที่ 1 :      ให้สมปองได้ขึ้นเงินเดือนมากกว่าสมหวัง เพราะทำงานเสร็จเรียบร้อยบริษัทไม่ต้องจ่ายโอที แม้สมปองจะมาสายไปบ้างแต่ก็พอยอมรับได้เพราะงานเสร็จตามกำหนดและเรียบร้อย
หัวหน้างานคนที่ 2 :      ให้สมหวังได้ขึ้นเงินเดือนมากกว่าสมปอง เพราะงานเสร็จและเรียบร้อยเหมือนกัน แม้บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายเรื่องโอทีเพิ่มสักหน่อยก็ไหวเพราะบริษัทมีสถานะการเงินดี แต่รับไม่ได้ที่สมปองไม่ทำตามกฎระเบียบและชอบมาสาย จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับพนักงานคนอื่นให้เลียนแบบ
            จากตัวอย่างข้างต้น เราจะพบว่าหัวหน้างานหรือผู้ประเมินมักจะประเมินผลการทำงานของลูกน้องโดยใช้ความรู้สึกของตัวเองเข้ามาตัดสินใจเป็นหลักโดยขาดหลักเกณฑ์หรือกติกาในการทำงานร่วมกันที่ชัดเจน
            ซึ่งการทำงานด้วยการใช้ความรู้สึกหรืออคติส่วนบุคคลทำนองนี้ก็มักจะทำให้การตัดสินใจผิดเพี้ยนและเกิดปัญหาตามมาในภายหลังอยู่เสมอ เพราะหัวหน้างานจะตอบคำถามลูกน้องไม่ได้ชัดเจนว่าเหตุใดถึงตัดสินใจอย่างนั้น เหมือนกรณีตัวอย่างที่ผมยกมานี่แหละครับ
          แต่ถ้าเราแก้ปัญหาทำนองนี้ด้วย “หลักเกณฑ์” บ้างล่ะ หัวหน้างานควรจะทำยังไงดี ?
          ลองกลับมาทบทวนเรื่องเหล่านี้สักนิดจะดีไหมครับ....
1.      บริษัทมีหลักเกณฑ์ในการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ชัดเจนหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ควรจะต้องคิดและทำขึ้นมาแล้วล่ะครับ เช่น การกำหนดตัวชี้วัดผลงานที่ชัดเจน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ KPIs (Key Performance Indicators) ซึ่งจะทำให้ทั้งหัวหน้า (ผู้ประเมิน) และลูกน้อง (ผู้ถูกประเมิน) รับรู้และเข้าใจตรงกันว่าหัวหน้าต้องการให้ลูกน้องทำงานถึงแค่ไหน ยังไง ถึงจะบรรลุเป้าหมาย เพื่อลูกน้องจะได้ปฏิบัติได้ตรงกับเป้าหมายที่หัวหน้างานต้องการ
2.      มีการกำหนดหลักเกณฑ์เรื่องป่วย ลา มาสาย ขาดงาน ฯลฯ ให้ชัดเจน ว่าถ้าหากพนักงานทำงานแล้วมีการป่วยลา มาสาย ขาดงาน ฯลฯ ได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าขาดงานหรือสายเกินกว่ากี่ชั่วโมงหรือกี่วัน บริษัทจะหักเงินเท่าไหร่หรือถ้าการขาด ลา มาสายนั้นจะมีผลกระทบต่อการพิจารณาขึ้นเงินเดือนประจำปี หรือจ่ายโบนัสของลูกน้องตอนปลายปียังไงบ้าง
3.      มีเกณฑ์ในการให้คะแนนซึ่งอาจจะมีการถ่วงน้ำหนักของปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลงาน (KPIs) หรือเรื่องการป่วย ลา มาสาย ขาดงานที่จะมีผลต่อการพิจารณาขึ้นเงินเดือนประจำปี หรือการจ่ายโบนัสให้ชัดเจน
4.      ประกาศแจ้งหลักเกณฑ์ที่บริษัทกำหนดตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 3 ข้างต้นให้พนักงานทุกคนได้รับทราบโดยทั่วกันตั้งแต่ต้นงวดและยึดถือปฏิบัติ และเมื่อถึงปลายปีก็ปฏิบัติไปตามหลักเกณฑ์นี้ ซึ่งในระหว่างปีที่ทำงานด้วยกัน ถ้าหัวหน้างานเห็นว่าลูกน้องชักจะมาสายบ่อย ขาดงานบ่อย หัวหน้างานก็ยังสามารถเรียกลูกน้องมาเตือนโดยให้ดูสถิติการทำงานและรับทราบผลได้อีกด้วยว่าตอนนี้เป็นอย่างนี้แล้วตอนปลายปีผลจะเป็นอย่างไร ซึ่งลูกน้องก็จะได้แก้ไขปรับปรุงตัวเองถ้าไม่อย่างงั้นก็ต้องรับสภาพความจริงตอนสิ้นปี
5.      หากทำได้อย่างนี้ หัวหน้างานก็จะสามารถให้คุณให้โทษลูกน้องของตัวเองไปตามหลักเกณฑ์ และจะตอบคำถามของพนักงานได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องใช้ความรู้สึกเข้ามาตัดสินใจซึ่งจะทำให้ลูกน้องเกิดการยอมรับมากกว่าการใช้ความรู้สึกเป็นครั้ง ๆ จริงไหมครับ
            จากที่ผมเสนอมาข้างต้นนี้ก็เพื่ออยากจะให้ข้อคิดกับหัวหน้างานที่มักจะชอบใช้ความรู้สึกเพื่อแก้ปัญหามากกว่าใช้หลักเกณฑ์หรือกติกาในการตัดสินใจเรื่องของคน ซึ่งถ้าใช้ความรู้สึกในการแก้ปัญหามากจนเกินไปโดยลืมคิดถึงหลักเกณฑ์หรือกติกาแล้วมันก็มักจะเกิดปัญหาตามมาในภายหลังอยู่เสมอ ๆ แถมยังจะตอบคำถามผู้คนไม่ได้ชัดเจน เกิดปัญหาข้อครหาเรื่องสองมาตรฐานความไม่เป็นธรรมตามมาอีกต่างหาก
            วันนี้ในหลายองค์กรวุ่นวายเรื่องของคนก็เพราะการไม่มีกติกาหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน หรือถ้ามีแต่กลับไปใช้ความรู้สึกหรืออคติในการตัดสินใจแก้ปัญหามากกว่าจะว่ากันตามกติกา แถมยังใช้ความรู้สึกสร้างข้อยกเว้นไม่ทำตามกติกาอยู่เรื่อย ๆ ก็มักจะเกิดปัญหาในเรื่องของคนวนเวียนกันอยู่อย่างนี้แหละครับ
            คำถามก็คือ วันนี้องค์กรของท่านมีหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ในเรื่องของการบริหารคนที่ชัดเจนและบอกให้ทุกคนทราบกฎกติกาแทนการใช้ความรู้สึกเพื่อลดปัญหาบ้างหรือยังล่ะครับ ?

…………………………………………