อยู่ดี ๆ วันนี้ผมก็เกิดความคิดย้อนกลับไปคิดถึงคำถามในอดีตที่เคยมีคนถามผมเกี่ยวกับอาชีพวิทยากรขึ้นมาแว๊บนึง
ผมเคยไปบรรยาย Inhouse Training ตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วต้องค้างคืนประเภท 2 วันหนึ่งคืน
หรือบางคอร์สก็ 3 วัน 2 คืน ตามโรงแรม
รีสอร์ทต่าง ๆ รวมทั้งหอพักพนักงานของบริษัทลูกค้า
ซึ่งผมก็เจอสภาพของที่พักมาแทบทุกประเภทตั้งแต่ที่พักที่ดี สะอาดบรรยากาศดี
ไปจนถึงห้องพักมีกลิ่นอับ มีแอร์เหมือนมีฮีทเตอร์ บางแห่งอยู่ในทำเลที่เปลี่ยว
ห้องพักก็บรรยากาศทึม ๆ
เพราะแสงสว่างในห้องน้อยบรรยากาศหลายแห่งก็เหมือนเรากำลังอยู่ในหนังเรื่องบุปผาราตรีประมาณนั้น
ผมเชื่อว่าคนที่มีอาชีพวิทยากรอย่างผมก็คงต้องเจอบรรยากาศของที่พักทั้งดีและไม่ดีทำนองนี้กันมาบ้างแหละ
คำถามคือผมเคยเจอกุ๊กกู๋มาเยี่ยมเยียนตอนดึก
ๆ บ้างไหม?
ก็ตอบได้ว่า
“ไม่เคยเจอเลยครับ”
อาจเป็นเพราะก่อนนอนผมจะไม่เคยมีความคิดเรื่องผีสางนางไม้อะไรในหัวเลยครับ
เพราะพอบรรยายเสร็จตอนเย็น
ผู้จัดเขาก็พาไปกินข้าวเย็นเสร็จแล้วเขาก็พามาส่งที่พัก หลังจากนั้นผมก็ต้องเตรียมงานสำหรับวันรุ่งขึ้นในห้องพักสักประมาณ
2-3 ชั่วโมง
(คือทบทวนกิจกรรมและสิ่งที่ต้องทำในคลาสในวันรุ่งขึ้นว่าต้องทำอะไรบ้างอะไรก่อนอะไรหลัง
ซึ่งผมจะทำอย่างนี้เสมอก่อนการบรรยายจนถึงทุกวันนี้)
เสร็จแล้วก็ดูทีวีสักพักก็นอนไม่เกิน 4 ทุ่ม
พอหัวถึงหมอนก็หลับรวดเดียวตื่นประมาณตีสี่ตีห้า
นิสัยตื่นเช้านี่ผมเป็นมาตั้งแต่ตอนเรียนประถมจนถึงทุกวันนี้
เพราะต้องเดินจากบ้านไปขึ้นรถเมล์โดยระยะทางเดินจากบ้านถึงป้ายรถเมล์ประมาณ 1 กม.เลยต้องนอนเร็วและตื่นเช้าไม่งั้นรถเมล์จะแน่นมากต้องโหนบันไดรถเมล์ไปโรงเรียน
อ้อ..บอกให้ทราบว่าในสมัยก่อนรถเมล์ไม่มีประตูปิดเหมือนทุกวันนี้นะครับและในยุคนั้นก็มีแต่รถเมล์ร้อนไม่มีรถแอร์เหมือนปัจจุบัน
ใครที่เกิดมาในรุ่นใหม่นี่จะเจอรถเมล์ที่มีประตูเปิดปิดปลอดภัยกว่าในยุคเก่า
ถ้าตื่นสายก็ต้องโหนบันไดรถเมล์
ใครที่เคยอยู่ในยุคโหนบันไดรถเมล์อย่างผมจะนึกภาพและเข้าใจความวิบากของนักเรียนในยุคนั้นได้ดีว่ามีสภาพเป็นยังไงในยุคนั้นจะมีข่าวรถเมล์ซิ่งเบียดเสาไฟฟ้าข้างทางทำให้คนที่ห้อยโหนบันไดตุยกันไปเหมือนวัดดวง
เพื่อความปลอดภัยที่จะไม่ต้องเกาะบันไดรถเมล์ไปเรียนก็เลยต้องนอนเร็วและต้องนอนให้หลับจะได้ตื่นเช้าทำให้ติดเป็นนิสัยมาจนถึงปัจจุบัน
จากที่เล่ามานี้จึงทำให้ผมไม่เคยเจอกุ๊กกู๋เลยสักครั้ง
และสรุปตามความเข้าใจของผมว่าที่ไม่เคยเจอก็น่าจะเป็นเพราะ
1.
ผมไม่เคยคิดว่าที่ที่เราพักจะมีกุ๊กกู๋
พอไม่คิดเราก็ไม่ได้ไปพะวงกับเรื่องเหล่านี้ ลองสังเกตตัวเองดูสิครับ ถ้าเราคิดว่าที่นี่จะมีผีหรือเปล่าหนอ
เราจะเริ่มนอยด์จะเริ่มสร้างภาพน่ากลัว ๆ ไว้ในสมองของเรา พอมีเสียงอะไรนิด ๆ
หน่อย ๆ เช่นเสียงนกร้อง เสียงหนู ฯลฯ หรือมองอะไรในที่สลัว ๆ ที่เป็นแสงและเงา สมองของเราก็จะเกิดจินตนาการเชื่อมโยงไปเลยว่า
ใช่แน่ ๆ มันต้องใช่แน่ ๆ มันมาหาเราแน่แล้ววววว ถ้าคิดอย่างนี้ก็คงตาสว่างนอนไม่หลับกันทั้งคืนแหละครับ
อันนี้มองในมุมวิทยาศาสตร์นะครับ
2.
แต่ถ้าจะมองในมุมความเชื่อ
ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าถ้าเราไม่เคยมีเวรกรรมใด ๆ ที่เป็นเรื่องเลวร้ายต่อกัน
ก็ไม่น่าจะได้มาเจอกันหรอก เหมือนกับคลื่นวิทยุรับ-ส่งไม่ตรงกันพอเราปิดตัวรับก็ไม่สามารถรับคลื่นที่ส่งมาได้เหมือนเราปิดวิทยุปิดทีวีทำนองนั้นแหละครับ
3.
คุณสมบัติในการหลับง่ายนอนเร็วตื่นเช้าของผมตามที่เล่าให้ฟังมาแล้วข้างต้น
ทั้งสามข้อนี้แหละครับคือปัจจัยสำคัญ
(เฉพาะตัวผมเอง) ที่ทำให้ผมไม่เคยเจอประสบการณ์แปลก ๆ อะไรอย่างที่บางคนอาจจะเคยเจอมาบ้าง
ผมเคยได้ยินเพื่อนที่เป็นอดีตพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเล่าให้ฟังว่าเขาจะมีลิสต์เลยว่าโรงแรมที่ไปพักแต่ละประเทศห้ามพักห้องหมายเลขอะไรบ้าง
และจะรู้กันในหมู่เพื่อน ๆ ว่าถ้าไปถึงโรงแรมนั้น ๆ แล้วถ้าทางโรงแรมจะให้พักในห้องตามลิสต์
เขาจะขอเปลี่ยนห้องทันทีเพราะไม่อยากมีคนมาคอยเทคแคร์ตอนดึก ๆ
แต่ไม่ทราบว่าในหมู่ของวิทยากรเคยมีลิสต์ทำนองนี้บ้างหรือไม่
แต่ถ้าใครมีลิสต์หรือเคยเจออะไรทำนองนี้ก็แชร์เรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังได้ครับ