วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2562

Sliding Door กับการตัดสินใจ


            เมื่อรถไฟฟ้ามาถึงสถานีแห่งหนึ่งแล้วประตูเลื่อนเปิดออก ถ้าเราตัดสินใจก้าวผ่านประตูรถไฟฟ้าเข้าไปจะทำให้ชีวิตของเราเป็นไปในแบบหนึ่ง

            ถ้าเราไม่ก้าวเข้าไปชีวิตของเราก็อาจจะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง

            แต่ไม่ว่าเราจะตัดสินใจก้าวหรือไม่ก้าวผ่านประตูเลื่อนนั้นออกไปก็จะเปลี่ยนชีวิตของเราไปตลอดกาล!

            นี่คือความหมายของ Sliding Door กับการตัดสินใจ ซึ่งมาจากหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง ผมเห็นว่ามีข้อคิดน่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังครับ

          จากหนังเรื่อง Sliding Door บอกว่าเมื่อประตูรถไฟใต้ดินเลื่อนเปิดออกแล้วเราก้าวเข้าไปในรถไฟได้ทันเราก็จะมีอนาคตไปแบบหนึ่ง แต่ถ้าเราก้าวเข้าไปไม่ทันเราก็อาจจะมีชีวิตที่พลิกผันไปอีกแบบหนึ่งที่ต่างไป อยู่ที่การตัดสินใจของเราที่จะก้าวผ่านประตูเลื่อนทันหรือไม่

            และเมื่อตัดสินใจทางใดทางหนึ่งชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนไป

            ผมว่าทุกคนก็คงจะต้องเคยเจอ Sliding door ที่เปิดออกแล้วเราต้องตัดสินใจกันมาแล้วทั้งนั้น

            บางคนตัดสินใจก้าวผ่านบานประตูนี้ไปแล้วก็พบกับความสำเร็จ ชีวิตดี๊ดี แฮปปี้มีสุขจนคนอิจฉา

            จนบางครั้งเจ้าตัวก็เคยคิดว่าถ้าเราไม่ตัดสินใจแบบในวันนั้น เราก็คงไม่มีวันนี้

            เมื่อราว ๆ ปี 2533 ก่อนที่ผมจะลาออกจากธนาคารแห่งหนึ่งที่ทำงานมาเกือบ 9 ปี จนตำแหน่งสุดท้ายในธนาคารนี้ผมเป็นหัวหน้าหน่วย(เทียบเท่าสมุหบัญชีของสาขา)ผมก็ได้ไปสมัครงานกับบริษัทปตท.สผ.ในตำแหน่ง Personnel Section Head (สมัยนั้นยังไม่มีคำว่า “HR” นะครับ) ซึ่งผมก็ต้องไปทดสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ตามขั้นตอนปกติจนกระทั่งทางฝ่ายบุคคลแจ้งผลมาที่ผมว่าผมสอบผ่านและนัดหมายให้ผมไปเซ็นสัญญาจ้างซึ่งตอนนั้นผมก็ดีใจแหละครับ

            ดูเหมือนประตูเลื่อนเริ่มเปิดสำหรับผมแล้วและผมก็เตรียมก้าวผ่านประตูนี้ไปสู่องค์กรที่ดีมาก ๆ

            แต่....

            พอไปเห็นสัญญาจ้างบอกชื่อตำแหน่งเอาไว้ว่า “Personnel Supervisor” ผมก็ถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลว่าทำไมตำแหน่งในสัญญาจ้างเป็นตำแหน่งไม่ตรงกับที่ผมสมัครและสัมภาษณ์ล่ะครับ และตำแหน่งนี้อยู่ตรงไหนในผังของฝ่ายบุคคล ก็ได้รับคำตอบว่าตำแหน่งนี้เป็นผู้ช่วยของ Personnel Section Head ที่ผมสมัครไปนั่นแหละ ซึ่งเขาได้คนมาทำในตำแหน่งนี้แล้วก็ให้ผมตัดสินใจตอนนั้นเลยว่าผมจะรับหรือไม่

            ตอนนั้นผมก็จำเป็นต้องตัดสินใจเซ็นสัญญาจ้างไปโดยยอมรับตำแหน่งที่ต่ำกว่าที่ผมสมัครไป เพราะเหตุผลขณะนั้นคือยังไงผมก็ต้องลาออกจากธนาคารที่ทำอยู่ในปัจจุบันแน่นอนเนื่องจากมีข่าวแว่ว ๆ มาแล้วว่าผมจะถูกย้ายไปทำงานสาขาซึ่งไม่ใช่งานบุคคลอย่างที่ผมรักและอยากจะทำ

            แต่พอหลังจากเซ็นสัญญาไปก็เริ่มกลับมาคิดทบทวนใหม่ ใช้เวลาคิดแล้วคิดอีกและหาข้อมูลจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือในวงการบุคคล(ยุคนั้น)ว่าคนที่มาทำงานในตำแหน่ง Personnel Section Head นั้นเป็นใคร จนกระทั่งได้ข้อมูลมาว่าคนที่มาทำงานในตำแหน่งนี้น่าจะมีสไตล์การทำงานไม่ตรงกับผม

            ผมก็เลยตัดสินใจพิมพ์หนังสือขอสละสิทธิในการทำงานพร้อมทั้งขอโทษไปยังบริษัทปตท.สผ.ส่งไปที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ในสมัยนั้นและแนบสำเนาสัญญาจ้างกลับคืนไปให้ทางบริษัท

            หลังจากผมตัดสินใจไม่ก้าวผ่านประตูเลื่อนบานนี้ไปแล้วเวลาไปพูดคุยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังจะมีแต่คนบอกกับผมเป็นทำนองว่าน่าเสียดาย องค์กรนี้มีแต่ใคร ๆ ก็อยากมาทำงานกันทั้งนั้น ทำไมผมถึงตัดสินใจอย่างนี้ ฯลฯ

            คือเล่าให้ฟัง 10 คนก็จะถูกทั้ง 10 คนพูดกับผมทำนองนี้ทั้งนั้น จนกระทั่งตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกว่าหรือเราตัดสินใจผิดพลาดไปแล้วจริง ๆ บางขณะผมก็คิดโทษตัวเองว่าทำไมเราถึงใจร้อนรีบปฏิเสธเขาเร็วเกินไป, เราคิดมโนไปเองหรือเปล่าว่าเราทำงานร่วมกับ Personnel Section Head ไม่ได้ ทำไมเราถึงไม่ลองทำงานกับเขาดูก่อนล่ะ ฯลฯ

          แต่คิดยังไงมันก็ทำให้เวลาย้อนกลับไม่ได้แล้วล่ะครับ เพราะผมตัดสินใจที่จะไม่ก้าวผ่านประตูเลื่อนนั้นมาแล้ว!

            หลังจากนั้นผมก็ได้งานเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลอีกบริษัทหนึ่งซึ่งมีหัวหน้าที่ดีมากคอยช่วยเหลือสนับสนุนการทำงานผมทุกอย่าง

            แต่พอทำที่นี้ได้เพียงปีเดียวผมก็เจอประตูเลื่อนบานใหม่เปิดออกคือทางธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ประเทศไทยต้องการ Compensation & Benefits Manager โดยพี่ที่ผมรู้จักท่านหนึ่งเป็นคนโทรมาบอกผมว่าผมทำได้ไหม ผมก็บอกว่าทำได้ครับเพราะตอนที่อยู่ธนาคารเดิมก็ต้องทำงานด้านนี้ด้วยอยู่แล้ว ในที่สุดทางธนาคารแห่งนี้ก็ตอบรับผมเข้าทำงานในตำแหน่ง Com & Ben Manager

            ตอนที่จะตัดสินใจนี่ก็ยากครับที่จะต้องเลือกระหว่างการอยู่ในบริษัทเดิมที่มีหัวหน้าที่ดีเป็นเหมือนพี่ที่เราทำงานด้วยแล้วสบายใจมาก กับการกระโดดมาที่ใหม่ในองค์กรต่างชาติที่เงินเดือนสูงมากสวัสดิการดีมากแต่ทำงานหนักและโหด (เมื่อเข้ามาทำงานแล้วต้องหยอดน้ำเกลือปีละประมาณ 1-2 ครั้ง) แต่จะได้ประสบการณ์ทั้งเรื่อง Com & Ben ที่แตกต่างจากองค์กรไทย ๆ ที่ผมเคยทำงานมา การไปทำงานร่วมกับฝ่ายบุคคลในสิงคโปร์ รวมไปถึงงานอื่น ๆ ที่ผมไม่เคยทำมาก่อนอีกมากมายหลายเรื่อง (ซึ่งมารู้ภายหลังจากเข้ามาทำงานที่ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์แล้ว)

            หลังจากการคิดทบทวนหลายรอบมากนอนไม่หลับอยู่หลายคืนเพราะคิดวนเวียนว่าควรจะอยู่ที่เดิมดีหรือจะไปที่ใหม่ดี

             สุดท้ายผมก็ตัดสินใจก้าวผ่านประตูเลื่อนบานใหม่บานนี้ไปที่ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ประเทศไทยและทำงานอยู่ที่นี่ 4 ปีซึ่งจะว่าไปผมก็คิดว่านี่อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมตัดสินใจถูกแม้ว่าในการทำงานที่นี่จะมีเรื่องราว Behind the scenes ในอีกสี่ปีหลังจากนี้ที่จะทำให้ผมต้องตัดสินใจลาออกโดยใช้เวลาไม่เกิน 3 วินาทีเพราะคำพูดบางคำของหัวหน้า ทำให้ผมยอมทิ้งรายได้เดือนละหกหลักทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้งานใหม่

            แต่ประสบการณ์จากที่นี่กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมนำมาเขียนเป็นหนังสือเกี่ยวกับการบริหารค่าตอบแทนหลายเล่มออกมาเพื่อแชร์ความรู้และประสบการณ์ให้กับคนสนใจในเรื่องนี้ และทำให้ผมมีอาชีพเป็นวิทยากรและที่ปรึกษาด้านนี้ในปัจจุบัน

            ข้อคิดในเรื่องนี้คือเมื่อถึงเวลาที่ Sliding Door ในชีวิตของเราเปิดออกก็ควรคิดให้ดีคิดให้รอบคอบด้วยเหตุด้วยผลก่อนตัดสินใจ

            และเมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องเดินหน้าแม้ว่ามันอาจจะไม่ดีเหมือนที่เราคาดหวังอย่าไปมัวเสียดายหรือไปคิดโกรธโทษตัวเองหรือโทษคนอื่น

            แต่ควรจะอยู่กับปัจจุบันและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ส่วนผลจะเป็นยังไงก็ต้องพร้อมที่จะรับเพื่อเป็นบทเรียนและประสบการณ์ของเราต่อไปครับ

…………………………………