วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561

Cognitive Dissonance – การคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองแบบแถ ๆ


อันที่จริงผมเคยเขียนถึงคำนี้ไปแล้วแต่ขอเอามาเขียนใหม่อีกครั้งเพื่อให้ท่านที่เพิ่งมาอ่านได้เข้าใจตรงกันอีกสักครั้งก็แล้วกันนะครับ

ปกติคนเรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอ ๆ และคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันถูกอยู่แล้วมันมีเหตุผลอยู่แล้ว

ท่านว่าจริงไหมครับ? เช่น....

ไปถามนาย A ว่าทำไมถึงไม่สวมหมวกนิรภัยเข้าพื้นที่ทั้ง ๆ ที่มีกฎของบริษัทว่าพนักงานที่เข้าพื้นที่ทุกคนจะต้องใส่หมวกนิรภัย

นาย A ก็จะตอบว่า “ก็คนอื่นเขายังไม่เห็นใส่หมวกเลย”

ไปถามนส.B ว่าทำไมถึงไปจอดรถในที่ห้ามจอด คำตอบก็คือ “ทีคนอื่นเขายังจอดกันได้เลย”

นี่คือตัวอย่างของการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองแบบแถ ๆ หรือ Cognitive Dissonance ครับ

ถ้าจะถามต่อไปว่า “แล้วที่คนอื่นเขาทำน่ะมันผิดหรือเปล่า, ถ้ารู้ว่าผิดแล้วทำไมต้องไปทำผิดให้เหมือนเขาด้วยล่ะ” คนเหล่านี้ก็คงจะหาเหตุผลอื่นที่เข้าข้างตัวเองมาแถต่อไปเรื่อย ๆ แหละ จริงไหมครับ

เพราะการคิดหาเหตุผลเพื่อบอกตัวเองและบอกคนอื่นอย่างนี้จะทำให้คน ๆ นั้นไม่เครียด ไม่ตำหนิตัวเองว่าตัวเองเป็นคนผิด จัดเป็นกลไกปกต้องตัวเองหรือ Defense Mechanism แบบหนึ่งที่มีอยู่ในตัวของทุกคน

ถ้าความคิดแบบ Cognitive Dissonance เป็นความคิดเพื่อปลอบใจตัวเองและไม่มีผลกระทบในด้านลบด้านร้ายต่อคนอื่นหรือต่อสังคมส่วนรวมก็ไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้าย เช่น..

เมื่อเราถูกแฟนบอกเลิก แล้วเราก็บอกตัวเองว่าโชคดีที่ถูกบอกเลิกตอนนี้ ดีกว่าแต่งงานอยู่กินกันไปมีลูกแล้วถูกบอกเลิก ในอนาคตเราอาจจะมีบุพเพสันนิวาสได้เจอคนที่ดีที่เหมาะกับเรามากกว่าแฟนคนนี้ ถ้าคิดอย่างนี้ก็จะทำให้เราหายเครียดและใช้ชีวิตเดินหน้าต่อไปได้ด้วยดี....ฯลฯ

ดีกว่าที่เราจะมาคิดตำหนิตัวเองว่าเราไม่ดีพอหรือไง แฟนถึงได้มาขอเลิกถ้าคิดโกรธโทษตัวเองอย่างงี้มาก ๆ เข้าก็มีหวังเครียดจนไปฆ่าตัวตายประชดความรักเหมือนที่เราได้อ่านข่าวหน้าหนึ่งกันอยู่บ่อย ๆ แหง ๆ ผมถึงได้บอกว่าความคิดแบบ Cognitive Dissonance นี้ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้างในด้านดีที่ช่วยลดความเครียดให้กับเรา ถ้าไม่มีผลกระทบกับคนอื่นหรือสังคมในทางลบทางร้าย

แต่ความคิดแบบ Cognitive Dissonance จะมีผลเลวร้ายมากถ้าคน ๆ นั้นไปทำอะไรที่เลวร้ายต่อคนอื่นหรือต่อสังคม แล้วก็มาหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง เช่น....

คนที่ทุจริตคอรัปชั่นก็จะบอกกับตัวเองว่า “นี่เรายังคิดเปอร์เซ็นต์น้อยกว่าคนก่อนหน้าเราซะอีกนะ....”

โจรผู้ร้ายที่จะลักวิ่งชิงปล้นก็จะบอกว่า “เพราะฉันต้องหาเงินเลี้ยงลูกฉันถึงต้องทำแบบนี้....”

คนที่ขับรถหรือขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนศรก็พูดว่า “คนอื่นเขาก็ทำอย่างงี้กันทั้งนั้นแหละ....”

ฯลฯ

ผมว่าถ้าใครมีความคิดแถ ๆ แบบนี้แถมขาด “หิริ-โอตัปปะ” หรือขาดความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปแล้วก็ความคิดแบบนี้เป็นอันตรายและมีผลกระทบออกไปรอบข้างมาก ยิ่งถ้าใครมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง ๆ แล้วคิดแบบนี้ก็จะทำอะไรแบบหลงในอำนาจและเกิดความเสียหายต่อสังคมส่วนรวมได้ง่าย

คำถามปิดท้ายเรื่องนี้คือ....

ตอนนี้สังคมในที่ทำงานและสังคมส่วนรวมของเรามีความคิดแบบ Cognitive Dissonance ในขั้นไหนกันแล้วครับ?

ความมี “สติ” และ “หิริ โอตัปปะ” เท่านั้นที่จะหยุดความคิดแถ ๆ แบบนี้ลงได้

..................................