วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเงินเดือน (ตอนที่ 1)


            เมื่อนายจ้างรับลูกจ้างเข้ามาทำงานก็ต้องจ่ายเงินเดือนให้ ตามหลักการง่าย ๆ ก็คือเมื่อลูกจ้างทำงานให้กับนายจ้างแล้ว  นายจ้างก็ย่อมจะต้องจ่ายเงินเดือน (ที่ภาษากฎหมายจะเรียกว่า “ค่าจ้าง” นะครับ ในกฎหมายแรงงานจะไม่มีคำว่า “เงินเดือน”) ให้กับลูกจ้างเพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงาน

          แล้วถ้าลูกจ้างคนนั้นทำงานมาครบปี นายจ้างจะต้องขึ้นเงินเดือนให้กับลูกจ้างคนนี้หรือไม่ ?

            ถ้ามองจากทางฝั่งลูกจ้างก็แน่นอนครับว่ายังไงก็ต้องขึ้นให้ ถ้าจะถามว่าทำไมต้องขึ้นเงินเดือนให้ ก็มักจะได้คำตอบแบบรวม ๆ ว่า “ก็ทำงานมาครบปีแล้ว บริษัทจะใจจืดใจดำไม่ขึ้นเงินเดือนให้บ้างเลยเหรอ” ซึ่งก็คือมองเรื่องอายุงานเป็นหลัก พูดง่าย ๆ ว่าเมื่อครบปีแล้วยังไงนายจ้างก็ต้องขึ้นเงินเดือนให้ฉัน

            แต่ถ้ามองจากมุมของนายจ้างบ้าง ก็อาจจะได้คำตอบว่า “ถ้าพนักงานทำงานดีมีฝีมือ มีผลงานก็พร้อมจะขึ้นเงินเดือนให้หรอก แต่ถ้าพนักงานทำงานไม่ดีล่ะ ก็ต้องขึ้นให้น้อยหน่อยนะ หรือถ้าทำงานไม่ได้เรื่องสุด ๆ ก็ไม่อยากจะขึ้นให้หรอก อยากจะให้ออกไปแล้วหาคนใหม่มาทำแทนจะดีกว่า....”

            เมื่อมองกันคนละมุม อยู่คนละฝั่งแบบนี้จึงมักจะเกิดเรื่องดราม่ากันในตอนพิจารณาขึ้นเงินเดือนประจำปีกันอยู่เสมอ อย่างน้อยปีละครั้งที่หัวหน้าจะมองลูกน้องแบบเขิน ๆ หรือบางคนก็เลี่ยงที่จะอธิบายตอบคำถามลูกน้องเรื่องทำไมถึงขึ้นเงินเดือนให้น้อย ในขณะที่ลูกน้องก็จะโกรธ มีงอน หรือตัดพ้อต่อว่าหัวหน้าว่าขึ้นเงินเดือนให้น้อยกว่าที่เขาคาดหวัง หรือลูกน้องบางคนรับไม่ได้ยื่นใบลาออกไปเลยก็มี ฯลฯ

            เราลองย้อนกลับมาดูพื้นฐานของการจ่ายเงินเดือนกันดีไหมครับว่าเงินเดือนคืออะไร

            ผมมีสูตรง่าย ๆ ว่า....

          เงินเดือน = ผลงาน+ความสามารถ หรือ  เงินเดือน = P(erformance)+C(ompetency) ครับ

            ผลงาน (Performance - P) คือ ผลการปฏิบัติงานที่พนักงานถูกหัวหน้าประเมินนั่นแหละครับ ซึ่งแต่ละบริษัทก็จะมีระบบการประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Appraisal  หรือวันนี้อาจจะเรียกระบบนี้ให้ทันสมัยว่า Performance Management System-PMS ก็ว่ากันไปนะครับ) นั่นคือ ถ้าพนักงานมีผลการปฏิบัติดีบริษัทก็จะปรับเงินเดือนเพิ่มให้ตามผลงานที่ทำมา ซึ่งการประเมินผลการปฏิบัติงานนั้นผมจะบอกเสมอว่าเป็นการประเมิน “อดีต” ที่พนักงานได้ทำมาแล้วว่าดีหรือไม่อย่างไร ซึ่งในวันนี้หลายแห่งก็ประเมินผลงานโดยมีตัวชี้วัดหลัก (Key Performance Indicators-KPIs) ที่ชัดเจน แต่บางแห่งก็ยังประเมินแบบใช้ความรู้สึกไม่มีตัวชี้วัด แต่ก็เรียกรวม ๆ ว่ามีการประเมินผลงานกันก็แล้วกันนะครับ

ใครมีผลงานดีก็ได้ปรับเงินเดือนเยอะหน่อย แต่ถ้าใครผลงานไม่ดีก็อาจจะได้ปรับเงินเดือนน้อยลง หรือใครผลงานย่ำแย่ไม่มีผลงานทำงานแบบหมดไปวัน ๆ  ทำงานผิดพลาดเป็นประจำ ไม่รับผิดชอบงาน หรือทำให้งานเกิดความเสียหายจนบริษัทอยากจะเชิญออกวันละสามรอบหลังอาหาร อย่างนี้หลายแห่งก็ไม่ปรับเงินเดือนขึ้นให้เพราะไม่มีผลงานก็มี  และบางแห่งหากพนักงานทำงานแย่สุด ๆ จริง ๆ ก็เลิกจ้าง โดยจ่ายค่าชดเชยให้ตามอายุงานไปเลยก็มีนะครับ

          ความสามารถ (Competency – C) หรือบางแห่งจะเรียกว่า “สมรรถนะ” จะมีองค์ประกอบ 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ

-          K = Knowledge หมายถึงความรู้ในงาน (ไม่ใช่ความรู้ที่เรียนจบคุณวุฒิอะไรมานะครับ) ว่าพนักงานที่ทำงานอยู่ในตำแหน่งนั้น ๆ มีความรู้มีความเข้าใจในงานที่จะต้องทำต้องรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน ทุกองค์กรต้องการพนักงานที่มีความรู้ในงานที่ตนเองจะต้องทำอย่างแตกฉานทั้งนั้น เช่น พนักงานบัญชีแม้จะเรียนจบปริญญาตรีบัญชีมาก็จริง แต่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับระบบบัญชีของบริษัทเป็นอย่างดี ถ้าไม่สามารถพัฒนาตนเองให้มีความรู้เกี่ยวกับระบบบัญชีของบริษัทให้ได้อย่างที่บริษัทต้องการ ต่อให้จบปริญญาตรีด้านบัญชีมาหรือเรียนเก่งมายังไง ก็ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ กับบริษัทครับ นี่คือความหมายของความรู้ในงาน

-          S = Skills  หมายถึง มีทักษะในงานที่ทำ นั่นก็คือทุกองค์กรต้องการพนักงานที่สามารถลงมือปฏิบัติ มีความชำนาญในงานที่ตนเองต้องลงมือปฏิบัติอย่างชำนาญ คล่องแคล่ว ลื่นไหล คือสามารถนำความรู้ในงาน (K) มาปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จได้จริง เพราะทักษะคือการฝึกฝนหรือทำเรื่องนั้น ๆ ซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จนเกิดความชำนาญขึ้นมานั่นแหละครับ

-          A = Attributes หมายถึง พนักงานควรมีคุณลักษณะภายในเชิงนามธรรมที่จะมีผลอย่างสำคัญที่จะทำให้งานที่ตนเองรับผิดชอบนั้นประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี เช่น ต้องมีความขยัน, ความอดทน, ความรับผิดชอบ, ความละเอียดรอบคอบ, ความมีมนุษยสัมพันธ์, ความมุ่งมั่น,ทัศนคติเชิงบวก ฯลฯ เป็นต้น

            ว้า..หมดหน้ากระดาษพอดี เดี๋ยวคราวหน้าเราค่อยมาพูดกันถึงเรื่องของ “ความสามารถ” หรือ Competency กับเงินเดือนกันต่อนะครับ