วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

กลับดึก=ทุ่มเท?


            คติแบบนี้ยังมีอยู่นะครับ คือคิดว่าคนที่ทำงานแล้วกลับบ้านดึกคือคนทุ่มเทให้กับงาน

            จริงหรือครับ ?

            หัวหน้างานหลายคนก็มักจะนำเรื่องนี้มาเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาช่วงขึ้นเงินเดือนประจำปีหรือจ่ายโบนัสให้กับลูกน้องเสียด้วยสิ

            หลักคิดก็ไม่ซับซ้อนอะไรมาก ใครกลับดึกคนนั้นอุทิศตัวให้กับงาน ใครกลับเร็วก็แสดงว่าคน ๆ นั้นไม่สู้งาน ไม่ขยัน ไม่ทุ่มเทให้กับงาน!!

            หัวหน้าหลายคนที่มีความคิดทำนองนี้ก็เลยมักจะเรียกลูกน้องประชุมช่วงใกล้ ๆ จะเลิกงานอยู่เป็นประจำแล้วก็ประชุมลากยาวไปจนค่ำ ๆ โดยไม่ได้มีเนื้อหาสาระมรรคผลอะไรจากการประชุม

          ใครเคยเจอหัวหน้างานแบบนี้บ้างไหมครับ ?

            ส่วนลูกน้องที่ “ทำงานเป็น” รู้ว่าหัวหน้าชอบคนกลับดึก ๆ ก็มักจะดึงเช็งในช่วงเวลางาน คือในชั่วโมงทำงานก็ทำแบบเนียน ๆ เรื่อย ๆ จะได้มีอะไรเอาไว้ทำตอนหลังเลิกงาน บางคนก็อาจจะคิดว่ากลับค่ำ ๆ ดึก ๆ หน่อยก็ดี รถจะได้ไม่ติดมาก ก็นั่งไถ Facebook ไถไลน์ไปตอนที่หัวหน้าไม่ได้เดินมาตรวจงาน พอหัวหน้าเดินมาก็ทำเป็นเอางานขึ้นมาทำ  ฯลฯ ก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคน

            เรามาลองดูอีกมุมหนึ่งไหมครับว่า การมีค่านิยมให้ลูกน้องกลับบ้านดึก ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็น บริษัทจะเกิดความเสียหายอะไรบ้าง

1.      ค่าน้ำ, ค่าไฟฟ้า, ค่าโทรศัพท์ ที่บริษัทต้องจ่าย เพราะการที่พนักงานอยู่หลังเวลางานหน่วยงานนั้น ๆ ยังต้องเปิดไฟแสงสว่าง, เปิดแอร์, พนักงานยังต้องไปเข้าห้องน้ำใช้น้ำใช้กระดาษทิชชู่, ใช้เครื่องถ่ายเอกสาร, เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์(แต่อาจเล่น Facebook  เล่นไลน์ส่วนตัว), โทรศัพท์คุยกับคนที่บ้าน ฯลฯ ลองให้ฝ่ายบัญชีเก็บข้อมูลค่าใช้จ่ายเหล่านี้ของแต่ละฝ่ายหลังเวลางานดูสิครับว่าเดือนละกี่บาท ปีละกี่บาท

2.      พนักงานที่คุณภาพชีวิตที่แย่ลง Work life balance” ที่ต้องเสียไป กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกแล้ว หลายคนมีครอบครัวต้องดูแล การพักผ่อนน้อย ไม่ได้ออกกำลังกายทำให้เสียสุขภาพในระยะยาวบริษัทก็อาจจะมีคนขี้โรคเพิ่มมากขึ้นค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นจากการไม่สมดุลชีวิตกับการทำงาน คนนะครับไม่ใช่เครื่องจักร (ขนาดเครื่องจักรยังต้องมีการพักซ่อมบำรุงเลย) ต้องมีการพักผ่อนให้เหมาะสมด้วย ไม่ใช่โหมงานดึกทุกวันทุกเดือนตลอดทั้งปีและหลายปีติดต่อกัน

3.      จากผลกระทบข้อ 3 พนักงานบางคนก็มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว เช่น ภรรยาจะคอยซักถามว่าทำไมสามีกลับบ้านดึกมีกิ๊กหรือเปล่าแล้วก็ทะเลาะกัน หรือ ลูกไม่มีใครดูแลทำให้เป็นเด็กติดเกม, ติดยา ฯลฯ ซึ่งปัญหาครอบครัวเหล่านี้หลายครั้งก็จะกลับมาเป็นปัญหาในเรื่องงาน เพราะเมื่อพนักงานเครียดเรื่องครอบครัวก็เลยทำให้เซ็ง เบื่อ ไม่อยากทำงานไปเลยก็มี

4.       พนักงานรุ่นใหม่ไฟแรงที่รับแนวคิดทำนองนี้ไม่ได้ก็จะมองว่าหัวหน้าเป็นพวกบริหารเวลาไม่ดี ค่านิยมโบราณ โลกแคบ ฯลฯ ก็เลยลาออกไปอยู่ที่อื่นดีกว่า บริษัทก็จะต้องเสียเวลามาสัมภาษณ์หาคนมาแทนกันอีก ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายในการหาคนมาทดแทน แถมเมื่อได้คนมาแทนแล้วอีกไม่นานก็มีแนวโน้มจะทำให้พนักงานใหม่ลาออกอีกเช่นเคยเพราะรับค่านิยมแบบนี้ไม่ได้

       ที่ผมพูดมาข้างต้นนี้ไม่ได้หมายความว่าผมสนับสนุนให้ท่านทำงานกันไปวัน ๆ โดยคอยจ้องนาฬิกาว่าพอถึงเวลาเลิกงานก็รีบกระโจนไปรูดบัตรออกจากบริษัททันทีนะครับ !!

          เพียงแต่อยากจะให้ข้อคิดว่าใน 8 ชั่วโมงการทำงานต่อวันก็ควรจะทำให้เต็มประสิทธิภาพหรือเต็มที่กับมัน บริหารเวลาให้ดี ทำงานให้เสร็จสิ้นตามที่ได้รับมอบหมาย หรือควบคุมดูแลงานของเราให้ดีในแต่ละวัน และมีเวลาหลังเลิกงานในการสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานบ้าง, ออกกำลังกายบ้าง, ดูแลสุขภาพบ้าง ไม่ควรบ้างานให้มากจนเกินไปจนเสียสมดุลในชีวิต

            แต่ถ้าช่วงไหนที่มีงานด่วน งานเร่ง งานฉุกเฉินที่ต้องรับผิดชอบ อาจจะต้องอยู่ดึกดื่นเพื่อเคลียงานด่วนเหล่านั้น อย่างนี้ก็ยังพอรับได้เพราะเป็นงานที่จำเป็นเร่งด่วน ซึ่งคงไม่ใช่การทำงานเกินเวลาแบบเป็นประจำทุกวัน ๆ ละเกิน 12 ชั่วโมงไปอย่างนี้ตลอดทั้งปี และติดต่อกันหลายปี

          ก็คงมาสรุปกันตรงที่หลักพระพุทธองค์ที่ท่านเคยสอนไว้ก็คือการเดินสายกลาง ไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งน่ะ น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดครับ
         
……………………………….