วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

บริษัทจะเรียกเงินค้ำประกันการทำงานได้หรือไม่ (อีกครั้ง)

            ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนแต่ก็ยังมีคำถามทำนองนี้คือ

            “ได้งานในบริษัทแห่งหนึ่งเป็นพนักงานต้อนรับลูกค้า ทางฝ่ายบุคคลของบริษัทแห่งนี้แจ้งว่าต้องมีการวางเงินค้ำประกันการทำงาน 10,000 บาทตลอดระยะเวลาที่ทำงานอยู่ และมีเงื่อนไขว่า

1.      หากพนักงานจะลาออกต้องยื่นใบลาออกล่วงหน้าตามระเบียบของบริษัทคือ 30 วัน
2.      บริษัทจะคืนเงินค้ำประกันเมื่อพนักงานทำงานครบ 1 ปี
3.      ถ้าหากพนักงานลาออกก่อนทำงานครบ 1 ปีหรือไม่ยื่นใบลาออกล่วงหน้า 30 วันตามระเบียบ บริษัทก็จะไม่คืนเงินค้ำประกันให้”

เงินค้ำประกันนี้บริษัทจะหักจากเงินเดือน ๆ ละ 1,000 บาทจนกว่าจะครบ 10,000

ซึ่งทั้งหมดนี้บริษัทได้ทำเป็นสัญญาให้พนักงานเซ็นยินยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว

คำถามคือ....บริษัททำแบบนี้ได้หรือไม่ ?

ก็น่าแปลกใจนะครับว่าแม้ทุกวันนี้มีคำพูดหนึ่งที่ว่า “ประชาชนจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้”

แต่ก็ยังมีบริษัทที่ทำผิดกฎหมายโดยอ้างว่าร “ไม่รู้” หรือ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” กันอยู่ (ก็เลยไปไม่ถึงเมืองกาญจน์ซะที...เอ้อ..อันนี้เป็นมุขนะครับ 555)

            ยิงมุขแล้วก็ขอตอบคำถามข้างต้นทั้งหมดได้อย่างนี้ครับ

1.      ถ้าฝ่ายบุคคลของบริษัทนี้พูดและทำอย่างที่บอกมาข้างต้น ผมก็สันนิษฐานว่าบริษัทคงจะจ้างใครก็ไม่รู้เข้ามาทำงานธุรการบุคคลทั่วไปแบบรับคนเข้า-เอาคนออก-ตรวจบัตรตอก-ออกใบเตือนทั่วบริษัท ฯลฯ แล้วก็อุปโลกน์ตั้งชื่อตำแหน่งนี้ว่า “ผู้จัดการฝ่ายบุคคล” หรือเพียงเอาไว้บอกคนทั่วไปว่าบริษัทก็มี HR กะเขาเหมือนกัน ซึ่งคนประเภทนี้แหละครับที่ทำให้คนอื่น ๆ ทั้งหลายมองคนที่ทำงาน HR ด้วยสายตาที่ดูถูกดูแคลน แถมเข้าใจงาน HR ว่าเป็นงานจับฉ่ายเบ็ดเตล็ด, ทำงานเอาใจฝ่ายบริหาร,  ถามอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง, งานแบบนี้เอาใครมาทำก็ได้ ฯลฯ

            โธ่..ก็ในเมื่อคนพวกนี้ไม่ใช่ HR ตัวจริงนี่ครับ เพราะคนพวกนี้ไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำไปว่างาน HR คืออะไร บทบาท หน้าที่และความรับผิดชอบของ HR มีอะไรบ้าง  รวมไปจนถึงความรู้เรื่องของกฎหมายแรงงานก็ไม่เคยเข้าไปอยู่ในซีรีบลัมคอร์เท็กซ์เลย ดังนั้นคนพวกนี้ก็จะคอยทำตามที่ฝ่ายบริหารสั่งมาเท่านั้นแหละครับ

2.      ตามกฎหมายแรงงานมาตรา 10 ก็บอกไว้ชัดอยู่แล้วว่าห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สินอื่น หรือการค้ำประกันด้วยบุคคลจากลูกจ้าง เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานที่ทำนั้นลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้....

            ตรงนี้แปลว่าตำแหน่งงานที่ถามมาเป็นตำแหน่งพนักงานต้อนรับลูกค้า ซึ่งตามลักษณะงานก็ไม่ได้ต้องมารับผิดชอบเรื่องเงินหรือทรัพย์สินของบริษัทอะไรเลย อย่างนี้บริษัทจะมาเรียกเงินค้ำประกันไม่ได้ครับ

            อย่าว่าแต่เรียกเก็บเงินค้ำประกันเลย แม้แต่บอกว่าจะไม่เรียกเงินค้ำประกันแต่จะขอให้มีตัวบุคคลมาค้ำประกันก็ไม่ได้ด้วยนะครับ

          จึงสรุปตรงนี้ว่าในกรณีนี้บริษัทไม่สามารถเรียกเงินค้ำประกันการทำงานหรือจะให้พนักงานหาคนมาค้ำประกันการทำงานก็ไม่ได้ ถ้าบริษัทยังฝืนทำอย่างนี้ก็เท่ากับบริษัททำผิดกฎหมายแรงงานมาตรา 10 ครับ

3.      ส่วนในเงื่อนไขที่ว่าเมื่อบริษัทรับเงินค้ำประกันการทำงานไปแล้ว ถ้าพนักงานไม่ยื่นใบลาออกล่วงหน้า 30 วัน หรือพนักงานลาออกก่อนทำงานครบ 1 ปี บริษัทจะไม่คืนเงินค้ำประกันการทำงานให้เพราะถือว่าพนักงานทำผิดสัญญา
ตรงนี้บริษัทก็ทำผิดกฎหมายแรงงานอีกนั่นแหละ เพราะในมาตรา 10 วรรคสองก็บอกไว้ชัดเจนแล้วว่า
เมื่อนายจ้างเลิกจ้าง หรือลูกจ้างลาออก หรือสัญญาประกันสิ้นอายุ ให้นายจ้างคืนเงินประกันพร้อมดอกเบี้ย ถ้ามี ให้แก่ลูกจ้างภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่นายจ้างเลิกจ้างหรือวันที่ลูกจ้างลาออก หรือวันที่สัญญาประกันสิ้นอายุ แล้วแต่กรณี

            แม้จะมีสัญญาทำเอาไว้ก็ถือว่าสัญญานั้นขัดกฎหมายแรงงานในมาตรานี้ สัญญาดังกล่าวจึงใช้บังคับไม่ได้ครับ เพราะการไม่ยื่นใบลาออกล่วงหน้า 30 วันหรือการลาออกก่อนทำงานครบ 1 ปีมันจะทำให้เกิดความเสียหายเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้างได้ยังไงล่ะครับ ดังนั้นเงื่อนไขที่จะไม่คืนเงินค้ำประกันแบบนี้บอกได้เลยว่าบริษัท “มั่ว” หรือ “โมเม” ขึ้นมาเองแท้ ๆ เลยแหละเพราะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยครับ

            เพราะอันที่จริงในกรณีนี้บริษัทก็ไม่มีสิทธิจะมาเรียกเงินค้ำประกันการทำงานตั้งแต่คำตอบในข้อ 2 ที่ผมบอกไปแล้ว ดังนั้นคำตอบในข้อ 3 ไม่ต้องพูดถึงเลยเพราะยิ่งแสดงเจตนาของบริษัทแห่งนี้ว่าต้องการจะฝ่าฝืนกฎหมายแรงงานมาตรา 10 แหง ๆ

            สรุปทั้งหมดก็คือถ้าผู้ถามคำถามนี้ยังอยากจะทำงานกับบริษัทที่จงใจจะเอาเปรียบพนักงานและจงใจทำผิดกฎหมายแรงงานตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานแบบนี้ก็เอาตามที่สบายใจก็แล้วกันนะครับ

          นี่ขนาดเริ่มต้นยังเอาเปรียบและส่อเจตนาไม่ดีอย่างนี้ แล้วขืนทำงานกันต่อไปยิ่งไม่ถูกเอาเปรียบยิ่งกว่านี้หรือครับ

            แต่ถ้าจะต้องการคำแนะนำจากผมอย่างตรงไปตรงมาก็คือ....

          “ไปหางานที่ใหม่ที่เขาไม่เอาเปรียบจะดีกว่านะครับ”


………………………………………