วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

จบวิศวะได้เงินเดือนเท่านี้..น้อยไปไหม ?

            “ผมจบวิศวะจากมหาวิทยาลัย....(ชื่อดังของเมืองไทย) แห่งหนึ่งด้วยเกรดเฉลี่ย 2.90 แต่ผมสอบสัมภาษณ์ในบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง SCG, PTT ไม่ติดซักที่ จนผมคิดว่าตัวเองมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เพื่อน ๆ ผมยังทักเลยว่าทำไมไม่ติด

            แล้วมาวันหนึ่งผมไปสัมภาษณ์ติดที่บริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่งได้ทำงานตรงตามที่ผมจบมา เงินเดือนทดลองงาน 17,000 พ้นทดลองงาน 18,000 บาทเองครับ คนจบมาเกรดต่ำกว่าผมยังได้อย่างน้อย ๆ 20,000 บาทเลย คิดแล้วน้ำตาจะไหล แต่ผมก็เริ่มชอบสังคมที่ทำงานนี้เพราะบรรยากาศอบอุ่น น่ารัก ได้ทำงานอย่างที่อยากทำและได้เรียนรู้งาน ผมควรจะหางานใหม่ดีไหมครับ….

            นี่เป็นคำถามจากน้องที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยมาหมาด ๆ และผมก็เชื่อว่าคำถามนี้คงจะตรงกับประสบการณ์ที่น้อง ๆ อีกหลายคนเจออยู่ตอนนี้ เลยอยากจะเอามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันในเรื่องนี้

            ถ้าดูจากความต้องการของคนจบใหม่ และยิ่งเป็นคนรุ่นใหม่ Gen Y ไฟแรง ผมเชื่อว่าความต้องการของน้อง ๆ เหล่านี้คือ....

1. ได้ทำงานในองค์กรที่มีชื่อเสียง เวลาคุยกับเพื่อนในงานสังสรรค์ศิษย์เก่าเลี้ยงรุ่น ฯลฯ จะได้พูดชื่อองค์กรที่ทำงานอยู่ได้เสียงดัง (ให้คนอื่นได้ยินไปด้วย) ฟังชัด เพราะคนอื่นฟังแล้วรู้ว่าองค์กรนี้คือที่ไหนใหญ่โตแค่ไหน แต่ถ้าอยู่ในบริษัทโนเนมบอกไปแล้วคนฟังร้อง “ฮ๊า..บริษัทอะไรน่ะ” ก็คงจะรู้สึกเสียเซฟล์ไปไม่น้อย จริงไหมครับ
2. ได้เงินเดือน (รวมถึงสวัสดิการ) เยอะ ยิ่งเยอะกว่าเพื่อนยิ่งดี ตามคำขวัญที่ผมบอกอยู่เสมอ ๆ ว่า “เงินเดือนเราได้เท่าไหร่..ไม่สำคัญเท่ากับเพื่อนได้เท่าไหร่” เพราะเอาไว้พูดเกทับ บรั๊ฟข่มเพื่อน ๆ ให้อิจฉาเล่น นอกจากนี้ควรจะมีโอกาสให้ได้ก้าวหน้าเลื่อนตำแหน่งได้เร็วยิ่งดี
3. บรรยากาศและสภาพการทำงานต้องดี คือไม่ใช่อยู่กลางแจ้ง แดดร้อน เดี๋ยวโดน UV ผิวหยาบกระด้าง เดี๋ยวเป็นสิวฝ้าขึ้นมาแล้ว Selfie ภาพไม่สวยอายเพื่อน ๆ  ถ้าอยู่ในห้องแอร์จะพิจารณาเป็นพิเศษ (555) ถ้าจะให้ดีกว่านั้นอยู่ในกรุงเทพจะดีที่สุด ถ้าเป็นต่างจังหวัด ยิ่งเป็นจังหวัดไกล ๆ ขอคิดดูก่อน
4. มีหัวหน้าดี เป็นกันเอง คอยเอาใจใส่ พูดคุยสอนงานเรา มีปัญหาอะไรก็สอบถามปรึกษาหารือพี่เขาได้เพราะเขาคอยรับฟัง คอยสอนงานเหมือนพี่เหมือนน้อง พูดจาภาษาเดียวกัน และมีเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำงานที่เพียงพอ เหมาะสมกับงานที่เราทำ

         ผมว่าหลัก ๆ คงมีประมาณนี้สำหรับน้อง ๆ ที่จบมาใหม่จริงไหมครับ ?

        แต่ที่ผมเล่ามาทั้งหมดข้างต้นสามสี่ข้อนั้นน่ะ ผมอยากจะบอกว่ามันเป็น “บริษัทในฝัน” น่ะครับ !!

          บริษัทในฝันหมายถึงเป็นบริษัทที่อยู่ในความฝันไงครับ เพราะพอตื่นมาอยู่ในสภาพความเป็นจริงมันก็ไม่เหมือนในฝัน เพราะเราอาจจะฝัน (หรือคาดหวัง) เรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานไว้ว่าจะต้องเพียบพร้อมสมบูรณ์อย่างที่เราต้องการ แต่ชีวิตจริงก็คือในคนส่วนใหญ่ไม่มีใครได้ทำงานอย่างที่ตัวเองฝันนักหรอกครับ

            สิ่งสำคัญก็คือ “ถ้าเราไม่ทำงานที่เรารัก..แต่เรารักงานที่เราทำ” บ้างหรือเปล่า ?

          ถ้าเราสามารถจะเลือกทำงานที่เรารักเราชอบได้ก็คงจะต้องถือว่าทำบุญมาดี….

          แต่ถ้าเราไม่สามารถเลือกได้ล่ะ เราจะคิดกับงานที่เราต้องทำอยู่ยังไงให้อยู่กับมันได้ ?

เพราะคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างมืออาชีพ หรือเป็นเถ้าแก่ผู้ประกอบการหลายคน ก็อาจจะไม่ได้ทำงานที่เขารัก หรือที่เขาเคยฝันที่จะทำ แต่คนเหล่านั้นเขารักงานที่เขาทำอยู่ตรงหน้า (แม้จะไม่ใช่งานที่ฝันอยากจะทำมาก่อน) และรับผิดชอบ มุ่งมั่นเอาใจใส่ทำงานนั้นให้ดีที่สุดจนประสบความสำเร็จต่างหาก

            ผมคงต้องย้อนกลับมาพูดเรื่อง “ทัศนคติคือทุก ๆ อย่างในชีวิต” กับน้อง ๆ ที่จบใหม่อีกครั้งหนึ่ง นั่นคือความสำเร็จในอนาคตทุก ๆ อย่างจะขึ้นอยู่กับทัศนคติหรือวิธีคิดของน้อง ๆ ครับ

            ถ้าในกรณีของคำถามข้างต้น ถ้าหากน้องมีวิธีคิดเสียใหม่ว่า

1. ไม่เอาเงินเดือนเราไปเปรียบเทียบกับเงินเดือนของเพื่อน
2. ไม่เอาบริษัทที่เราทำอยู่ไปเปรียบเทียบกับบริษัทของเพื่อน
3. ไม่ยึดติดหรือมี Ego ว่าเราจบมาได้เกรดเฉลี่ยสูงกว่าเพื่อน ทำไมเราถึงไม่ได้ทำงานบริษัทใหญ่ ๆ เหมือนเพื่อน
4. ฯลฯ

       น้องจะเห็นว่าตัวอย่างที่บอกมา 3-4 ข้อข้างต้นนี้น่ะ มันเป็นทัศนคติเชิงลบ (Negative Thinking) คิดแต่ในทางลบ ๆ

         แบบนี้คิดไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ แถมยังจะทำให้จิตใจของเราย่ำแย่ลงไปอีก

        แต่ถ้าเรามีวิธีคิดเชิงบวก (Positive Thinking) เสียใหม่ว่า

1. เราอยู่ในบริษัทที่ได้ทำงานตรงกับที่เราเรียนรู้มา นี่เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้สั่งสมความรู้ ทักษะและประสบการณ์ที่หาได้ยาก ได้เรียนรู้งานหลาย ๆ ด้าน ที่ถ้าแม้เราไปทำงานในองค์กรใหญ่ ๆ ก็ไม่มีโอกาสแบบนี้ เพราะในองค์กรใหญ่คงเรียนรู้ได้ด้านใดด้านเดียว (หรือแม้ว่าวันนี้เราอาจจะไม่ได้ทำงานตรงกับที่เรียน หรือที่อยากทำก็ตาม แต่อยากให้ลองคิดดูให้ดี ๆ ว่างานที่ทำอยู่นี้น่ะ ยังมีข้อดีอะไรบ้างไหม เราจะมีโอกาสได้เรียนรู้หรือทำงานนี้ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้บ้างไหม) ลองมองหาเรื่องบวกในเรื่องลบให้เจอสิครับว่ามีบ้างไหม ซึ่งผมไม่เชื่อว่างานที่น้อง ๆ ทำอยู่จะมีแต่เรื่องเลวร้ายไม่ดีไปเสียทุกเรื่อง อยู่ที่ว่าเรา “อดทน” และให้เวลาอย่างเพียงพอที่จะเรียนรู้หรือค้นหาข้อดีของงานที่เราทำอยู่ได้หรือไม่ แต่ผมบอกไว้ได้อย่างหนึ่งว่า ตราบใดที่เรายังมีทัศนคติเชิงลบอยู่ เราจะไม่มีทางมองเห็นข้อดีของงานที่เราทำอยู่ได้เลย

2. แม้ว่าเงินเดือนของเราในวันนี้จะน้อยกว่าเพื่อน ๆ แต่มันก็เป็นเงินเดือนของวันนี้ แต่ในอนาคตเมื่อเรามีความรู้ความสามารถในงานที่เพิ่มมากขึ้น เราเร่งทำงานที่เป็นชื่อเสียงหรือเป็นชิ้นงานที่สำคัญของเราเอาไว้เรื่อย ๆ ถึงวันนั้นแหละ เราก็จะเป็นคนกำหนดอนาคตในงานของเราได้เองไม่ใช่องค์กรหรือใครจะมาเป็นคนกำหนด เพราะทุกวันนี้คนที่ทำงานดีมีฝีมือย่อมเป็นที่ต้องการขององค์กรต่าง ๆ อยู่เสมอ

3. การได้เกรดเฉลี่ยที่สูง ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าคน ๆ นั้นจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานระยะยาวเสมอไปครับ เพราะเกรดเฉลี่ยมันใช้แค่ตอนที่เพิ่งจบใหม่แล้วไปสมัครงานเท่านั้นแหละครับ พอทำงานไปเรื่อย ๆ ไม่มีใครเขามาสนใจถามอีกหรอกว่า “คุณได้เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่” แต่เขาจะดูว่า “คุณทำงานได้ดีหรือไม่” ต่างหาก เพราะความก้าวหน้าและความสำเร็จในงานขึ้นอยู่กับผลงานและความสามารถในงาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเกรดเฉลี่ยตอนจบครับ จบป่ะ....

      ถ้าน้อง ๆ คิดได้อย่างนี้และทำวันนี้ให้ดีที่สุด ผมเชื่อว่าเมื่อปัจจุบันดี อนาคตย่อมดีตามไปด้วยอย่าง
แน่นอน อย่าลืมว่าถ้าเราเลือกที่จะคิดในทางบวกอนาคตก็มีแนวโน้มจะเป็นบวก แต่ถ้าเราคิดลบอนาคตก็จะเป็นลบตามไปด้วย

ขอเป็นกำลังใจให้น้อง ๆ ที่กำลังหางานและทำงานทุกคนครับ


………………………………..