วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กลับบ้านตรงเวลา..ไม่ทุ่มเทให้กับงาน ?

            พนักงานที่ทำงานแล้วกลับบ้านดึก ๆ เป็นคนทุ่มเทให้กับงาน จริงหรือครับ ?

            หัวหน้างานหลายคนมักจะนำเรื่องนี้มาเป็นเรื่องสำคัญในการพิจารณาช่วงขึ้นเงินเดือนประจำปีหรือจ่ายโบนัสเสียด้วยสิ

            หลักคิดก็ไม่ซับซ้อนอะไรมาก ใครกลับดึกคนนั้นอุทิศตัวให้กับงาน ใครกลับเร็ว (หมายถึงพอถึงเวลาเลิกงานแล้วสักพักก็กลับบ้าน ไม่ได้หมายถึงกลับก่อนเวลาเลิกงานนะครับ) ก็แสดงว่าคน ๆ นั้นไม่สู้งาน ไม่ขยัน ไม่ทุ่มเทให้กับงาน ฯลฯ แล้วแต่สารพัดข้อหาจะยัดเยียดให้

            หัวหน้าหลายคนที่มีความคิดทำนองนี้ก็มักจะเรียกลูกน้องประชุมช่วงใกล้ ๆ จะเลิกงานอยู่เป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อง (บางคน) กลับบ้านเร็วเกินไป และการประชุมก็มักจะลากยาวไปจนค่ำ ๆ เสียด้วย

          ท่านเคยเจอหัวหน้างานทำนองนี้บ้างไหมครับ ?

            ผมว่าปัญหาทำนองนี้เป็นปัญหาในเรื่องของวิธีคิดแบบเชื่อมโยงตรรกะที่อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ซึ่งความคิดทำนองนี้ก็เลยทำให้เกิดค่านิยมบางอย่างในตัวคนขึ้นมา ยิ่งถ้าคน ๆ นั้นได้เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้บริหารแล้วยังมีวิธีคิดแบบรวบยอดที่อาจจะไม่ถูกต้องทำนองนี้ก็ย่อมจะทำให้คนที่เป็นลูกน้องอึดอัดหาวเรอ เผลอ ๆ นั่งเซ็งกันได้เป็นธรรมดา

            ส่วนลูกน้องที่ “ทำงานเป็น” รู้ว่าหัวหน้าชอบคนกลับดึก ๆ ก็มักจะดึงเช็งในช่วงเวลางาน คือในชั่วโมงทำงานก็ทำแบบเนียน ๆ เรื่อย ๆ จะได้มีอะไรเอาไว้ทำตอนหลังเลิกงาน บางคนก็อาจจะคิดว่ากลับค่ำ ๆ ดึก ๆ หน่อยก็ดี รถจะได้ไม่ติดมาก ก็นั่งเล่น Facebook ไปตอนที่หัวหน้าไม่ได้เดินมาตรวจงาน พอหัวหน้าเดินมาก็ทำเป็นเอางานขึ้นมาทำ  ฯลฯ ก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคน

            เรามาลองดูอีกมุมหนึ่งไหมครับว่า การมีค่านิยมให้ลูกน้องกลับบ้านดึก ๆ ทั้ง ๆ ที่ลูกน้องก็เคลียงานหมดแล้ว บริษัทจะเกิดความเสียหายอะไรบ้าง

1. ต้องจ่ายค่าล่วงเวลา ในกรณีที่หัวหน้าสั่งให้ลูกน้องทำงานหลังเวลาทำงานปกติ ซึ่งบริษัทก็จะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้
2. ค่าน้ำ, ค่าไฟฟ้า, ค่าโทรศัพท์ ที่บริษัทต้องจ่าย เพราะการที่พนักงานอยู่หลังเวลางานหน่วยงานนั้น ๆ ยังต้องเปิดไฟแสงสว่าง, เปิดแอร์, พนักงานยังต้องไปเข้าห้องน้ำใช้น้ำใช้กระดาษทิชชู่, ใช้เครื่องถ่ายเอกสาร, เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์(แต่อาจเล่น Facebook  ส่วนตัว), โทรศัพท์คุยกับคนที่บ้าน ฯลฯ ลองให้ฝ่ายบัญชีเก็บข้อมูลค่าใช้จ่ายของแต่ละฝ่ายหลังเวลางานดูสิครับว่าวัน ๆ หนึ่ง หรือเดือน ๆ หนึ่งคิดเป็นเงินกี่บาท ปีละกี่บาท
3. พนักงานที่คุณภาพชีวิตที่แย่ลง Work life balance” ที่ต้องเสียไป กว่าจะกลับถึงบ้านกี่โมง หลายคนต้องมีครอบครัวต้องดูแล การพักผ่อนน้อย ไม่ได้ออกกำลังกายทำให้เสียสุขภาพในระยะยาวบริษัทก็อาจจะมีคนขี้โรคเพิ่มมากขึ้นจากการไม่สมดุลชีวิตกับการทำงาน คนนะครับไม่ใช่เครื่องจักร (ขนาดเครื่องจักรยังต้องมีการพักซ่อมบำรุงเลย) ต้องมีการพักผ่อนให้เหมาะสมด้วย ไม่ใช่โหมงานดึกทุกวันทุกเดือนตลอดทั้งปี

4. จากผลกระทบข้อ 3 พนักงานบางคนก็มีปัญหาครอบครัว เช่น ภรรยา (บางคนที่ทำตัวเป็นฝ่ายสืบสวน) จะคอยซักถามว่าทำไมสามีกลับบ้านดึกมีกิ๊กหรือเปล่าแล้วก็ทะเลาะกัน หรือ ลูกไม่มีใครดูแลทำให้เป็นเด็กติดเกม ฯลฯ ซึ่งปัญหาครอบครัวเหล่านี้หลายครั้งก็จะกลับมาเป็นปัญหาในเรื่องงาน เพราะเมื่อพนักงานเครียดเรื่องครอบครัวก็เลยทำให้เซ็ง เบื่อ ไม่อยากทำงานไปเลยก็มี อย่าลืมว่าแต่ละคนล้วนมีครอบครัว มีญาติพี่น้อง ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก หรือมีแต่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว จึงจำเป็นต้องมีชีวิตส่วนตัวและครอบครัวด้วยนะครับ

5. พนักงานที่รับแนวคิดทำนองนี้ไม่ได้ (โดยเฉพาะพนักงานรุ่นใหม่ไฟแรงพวก Gen Y) ก็จะมองว่าหัวหน้าเป็นพวกบริหารเวลาไม่ดี ครอบครัวมีปัญหา โลกแคบเพราะมีแต่ที่ทำงานไม่รู้จักไปสังคมสังสรรค์ซะบ้างเลย ฯลฯ ก็เลยลาออกไปอยู่ที่อื่นดีกว่า บริษัทก็จะต้องเสียเวลามาสัมภาษณ์หาคนมาแทนกันอีก ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายในการหาคนมาทดแทน แถมเมื่อได้คนมาแทนแล้วอีกไม่นานก็มีแนวโน้มจะทำให้พนักงานใหม่ลาออกอีกเช่นเคยเพราะรับค่านิยมแบบนี้ไม่ได้ ยิ่งบางแห่งทำงานสัปดาห์ละ 6 วันแล้วต้องกลับดึก ๆ ทุกวัน ก็จะพบว่าอัตราการลาออกสูงเพราะสาเหตุนี้แหละครับ

          ที่ผมพูดมาข้างต้นนี้ไม่ได้หมายความว่าผมสนับสนุนให้ท่านทำงานกันไปวัน ๆ โดยคอยจ้องนาฬิกาว่าพอถึงเวลาเลิกงานก็รีบกระโจนไปรูดบัตรออกจากบริษัททันทีนะครับ !!
          เพียงแต่อยากจะให้ข้อคิดว่า ในการทำงานนั้นเขาให้เวลาทำงานกัน 8 ชั่วโมงต่อวัน เราก็ควรจะทำให้เต็มประสิทธิภาพหรือเต็มที่กับมัน บริหารเวลาให้ดี ทำงานให้เสร็จสิ้นตามที่ได้รับมอบหมาย หรือควบคุมดูแลงานของเราให้ดีในแต่ละวัน และมีเวลาหลังเลิกงานในการสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานบ้าง, ออกกำลังกายบ้าง, พักผ่อนบ้าง ฯลฯ เพื่อสมดุลชีวิตไม่ให้บ้างาน (Workaholic มากจนเกินไป)

            แต่ถ้าช่วงไหนที่มีงานด่วน งานเร่ง งานฉุกเฉินที่ต้องรับผิดชอบ อาจจะต้องอยู่ดึกดื่นเพื่อเคลียงานด่วนเหล่านั้น อย่างนี้ก็ยังพอรับได้เพราะเป็นงานที่จำเป็นเร่งด่วน 

             ซึ่งคงไม่ใช่การทำงานเกินเวลาแบบเป็นประจำทุกวัน ๆ ละเกิน 12 ชั่วโมงไปอย่างนี้ตลอดทั้งปี และติดต่อกันหลายปี แถมเมื่อมีพนักงานใหม่เข้ามาทำงานก็ต้องทำงานกันตามค่านิยมอย่างนี้แหละถึงจะอยู่ด้วยกันได้

            ถ้ามีแนวคิดอย่างนี้ล่ะก็ผมว่าคงไม่สมเหตุสมผลแล้วล่ะครับ !

          ก็ในเมื่อถ้าพนักงานทำงานเสร็จสิ้นตามที่ได้รับมอบหมาย ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จะมีเหตุผลอะไรอีกที่หัวหน้าจะต้องให้อยู่ดึก ๆ ทุกวันล่ะ

          ก็คงมาสรุปกันตรงที่หลักพระพุทธองค์ท่านเคยสอนไว้ก็คือการเดินสายกลาง ไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งน่ะ น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด

เพียงแต่หัวหน้างานหันกลับมาใช้คติ “Work life balance” ให้ดีทั้งตัวเองและลูกน้องจะได้มีความสุขทั้งในงานและชีวิตส่วนตัวจะได้ Win-Win ไม่ดีกว่าหรือครับ


……………………………….