วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปัจจัยที่ไล่น้องใหม่ออกจากองค์กร (ตอนที่ 2)


            ในตอนที่แล้วผมได้พูดถึงปัจจัยที่จะมีอิทธิพลในการไล่คนที่จบมาให้เพิ่งเข้าทำงานกับองค์กรของท่านแล้วก็ต้องลาออกไปในที่สุด 3 ปัจจัยแล้ว ในตอนนี้เรามาว่ากันถึงปัจจัยที่เหลือดังนี้ครับ

          4. เพื่อนร่วมงาน

            มนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องการเพื่อนฝูง แต่พอเข้ามาทำงานกลับพบกับการต้อนรับจากเพื่อนร่วมงานที่มองด้วยสายตาเย็นชา หรือมองเห็นน้องใหม่เป็นถังขยะคือเพื่อนที่ทำงานอยู่มาก่อนก็โยนงานที่ตัวเองไม่อยากทำมาใส่ให้น้องใหม่รับไปเต็ม ๆ เรียกว่ามีการรับน้องใหม่จากเพื่อนร่วมงานเสียน่วม แถมยังขาดระบบการสอนงานที่ดีที่ผมพูดไปในคราวที่แล้วเสียอีก ยิ่งเป็นปัจจัยช่วยทำให้น้องใหม่ตัดสินใจลาออกเร็วขึ้นอีก

          5. สภาพแวดล้อมในการทำงาน

            หลายบริษัทปล่อยให้บรรยากาศสภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่สะอาดตา และขาดสภาพที่เหมาะสมในการทำงาน เช่น มีเครื่องไม้เครื่องมือในการทำงานวางระเกะระกะ, มีกล่องวางเกะกะ, ที่ทำงานสกปรกรกเลอะเทอะไม่เป็นระเบียบ ฯลฯ ซึ่งพนักงานเดิมที่ทำงานอยู่อาจจะเคยชินกับสภาพบรรยากาศในการทำงานแบบนั้น แต่พนักงานจบใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาทำงานในวันแรกเขาย่อมจะแปลกสถานที่และจะเห็นสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ได้ด้วยความอึดอัดใจ พร้อมทั้งเขาคงจะต้องประเมินตัวเองไปด้วยเลยว่าเขาจะอยู่ในสภาพแวดล้อมในการทำงานแบบนี้ได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าสภาพแวดล้อมในการทำงานเหลือจะทนเขาก็คงต้องบ๊ายบายจริงไหมครับ

วันนี้ท่านเข้ามาทำงานโดยมองสถานที่ทำงานแบบคนเพิ่งเข้ามาทำงานวันแรกบ้างหรือไม่ล่ะครับ จะได้เกิดไอเดียที่จะปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้นกว่าปัจจุบันเพื่อรักษาน้องใหม่เอาไว้และเพื่อให้คุณภาพชีวิตในการทำงานของท่านดีขึ้นด้วยยังไงล่ะครับ

6. เครื่องมือเครื่องใช้ในการทำงานไม่พอเพียง

โดยทั่วไปแล้วบริษัทควรจะต้องจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือในการทำงานให้พร้อมสำหรับพนักงานใหม่ เช่น โต๊ะ, เก้าอี้, เครื่องเขียน, คอมพิวเตอร์ (ถ้าจำเป็นต้องใช้ในงาน) ฯลฯ แต่หลายครั้งก็จะพบว่าบริษัทไม่ได้เตรียมอะไรให้กับพนักงานใหม่ไว้ล่วงหน้าเลย เช่น เมื่อพนักงานใหม่เข้ามาก็ไม่รู้จะให้เขาไปนั่งตรงไหน หรือไปนั่งที่โต๊ะของใครสักคนในแผนก อุปกรณ์เครื่องใช้ไม้สอยในการทำงานก็ไม่พร้อม เหมือนกับไม่มีการประสานงานกันระหว่างฝ่ายบุคคลกับหน่วยงานที่จะรับน้องใหม่เข้าไปทำงาน ทำให้พนักงานใหม่เกิดความรู้สึกครั้งแรกที่ไม่ดีสำหรับบริษัทนี้เสียแล้ว นี่ก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้น้องใหม่มองว่าบริษัทนี้ยังขาดความเป็นมืออาชีพ แค่พนักงานเข้ามาใหม่ยังขาดความพร้อมอย่างนี้แล้วการบริหารจัดการเรื่องอื่น ๆ คงไม่ได้เรื่องหรอก ก็เลยลาออกไปอยู่บริษัทที่เป็นมืออาชีพมากกว่านี้จะดีกว่า

7. ไม่เข้าใจไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ Generation Y

ต้องยอมรับนะครับว่าวันนี้เป็นยุคของคนที่เราเรียกว่า Generation Y (บางคนเรียกว่า “Generation Why”) คือคนที่เกิดประมาณปี 2528-2548 (บางคนก็บอกว่าต่อจาก 2549 จะเป็น Generation Z) ซึ่งเป็นวัยทำงานอยู่ในปัจจุบันนี้

และต้องยอมรับอีกเหมือนกันว่าสภาพแวดล้อมตั้งแต่เกิด, วิธีคิด, การดำรงชีวิต รวมไปถึงไลฟ์สไตล์ของคน Gen Y แตกต่างไปจากคนรุ่นก่อนหน้าที่เรียกกันว่าพวก Gen X หรือพวก BB (Baby Boomers) เพราะคน Gen Y คือคนที่เกิดมาในยุคของคลื่นลูกที่สามคือ Social Network ยุค 3G ยุคที่ IT เทคโนโลยี และการสื่อสารรวดเร็วฉับไว เกิดมาในยุคที่มี Facebook, Instagram, Line ฯลฯ

Gen Y ต้องการความรวดเร็ว ต้องการการสื่อสารที่ฉับไวมีประสิทธิภาพ ไม่ชอบความชักช้าอืดอาด มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ต้องเปิดโอกาสให้เขาได้ตั้งคำถาม แสดงความคิดเห็น และต้องยอมรับฟังความคิดเห็นของเขาด้วย, ผู้ใหญ่ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องถูกทุกเรื่องเสมอไป, ต้องการประสบความสำเร็จเร็ว ก้าวหน้าเร็วมีเงินเยอะ ๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย, วัตถุนิยมสูง ฯลฯ

ซึ่งท่านคงจะเห็นภาพคร่าว ๆ แล้วนะครับว่าคน Gen Y จะมีความแตกต่างไปจากคน Gen BB หรือ Gen X ที่ยังเชื่อมั่นในระบบอาวุโส, ผู้ใหญ่จะถูกเสมอ เวลาผู้ใหญ่ตำหนิหรือดุผู้น้อยก็ต้องนั่งฟังห้ามเถียงห้ามหือ (คล้าย ๆ พจมาน สว่างวงศ์เข้าบ้านทรายทองแล้วถูกหญิงแม่, หญิงใหญ่ดุด่าหญิงพจน์ต้องนั่งก้มหน้านิ่งฟังประมาณนั้นแหละครับ) เป็นยุคที่ต้องอดทน รอคอย ทำอะไรต้องเป็นขั้นเป็นตอน ฯลฯ

ความขัดแย้งระหว่างรุ่นอย่างที่ผมเล่ามาให้ฟังนี่แหละครับทำให้ หัวหน้างานหรือผู้บริหารที่เป็นคนกลุ่ม Gen X หรือ BB เคยถูกอบรมสั่งสอนมาในแบบหนึ่ง พอมาเจอเข้ากับพวกที่เป็น Gen Y ที่เป็น “หญิงมั่น-ชายมั่น” ตามประสาคนรุ่นใหม่อีกแบบหนึ่ง ก็เกิด “การปะทะกันทางความแตกต่างระหว่างรุ่น”

ดังนั้น ถ้าผู้บริหารไม่ยอมเข้าใจ และเปิดใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงของโลก และของรุ่น (Generation) ที่เข้าสู่ยุคใหม่ แล้วยังคงปกครองบังคับบัญชาพวก Gen Y ในแบบ “เจ้านายกับลูกน้อง” ในลักษณะเดียวกับที่ตนเองเคยถูกปกครองมาในอดีต แล้วจะนำวิธีการในอดีตมาใช้กับพวก Gen Y ก็จะทำให้พวก Gen Y รับไม่ได้และลาออกไปหาบริษัทที่เข้าใจความเป็น Gen Y ของเขาในที่สุดครับ

นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บริหารองค์กรในยุคใหม่จำเป็นต้องเปิดใจปรับเปลี่ยนวิธีคิด และเข้าใจ Gen Y ให้มากขึ้น และพร้อมจะปรับเปลี่ยนวิธีการปกครองจาก “เจ้านายกับลูกน้อง” มาเป็น ผู้นำทีมงานที่เป็นเสมือนพี่ที่เข้าใจ เปิดโอกาส และรับฟังความคิดเห็นของน้อง ๆ ให้มากขึ้น ต้องรู้จักมีกิจกรรมอื่น ๆ   นอกเหนือจากเรื่องงานกับน้อง ๆ Gen Y ด้วย เช่น เขาเล่น Line WhatsApp หรือ Instagram กัน หัวหน้าก็อาจจะต้องรู้ว่าคืออะไรและพูดภาษาเดียวกับเขาได้ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าท่านเข้าใจเขาก็มีโอกาสจะอยู่ทำงานด้วยกันได้นานขึ้นครับ

เป็นยังไงบ้างครับ ปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายในการไล่น้องใหม่จากบริษัท ผมเชื่อว่าคงจะทำให้ท่านได้ข้อคิดอะไรไปบ้างแล้ว เพื่อที่จะได้ปรับปรุงแก้ไขและลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เหล่านี้ลง เพื่อรักษาน้องใหม่ให้อยู่กับเราได้นานขึ้นครับ

…………………………………………