วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

ยื่นใบลาออกแล้วมาทำงานต่อถือเป็นการลาออก หรือเลิกจ้าง ?


            คุณนงนุชเบื่อที่จะที่จะทำงานกับหัวหน้าเต็มที และคิดว่าอยู่ไปก็ไม่รุ่งตำแหน่งหน้าที่การงานคงไม่ก้าวหน้าไปกว่านี้แล้ว คุณนงนุชก็เลยเขียนใบลาออกไปยื่นให้กับหัวหน้า ซึ่งตามระเบียบบริษัทบอกไว้ว่า กรณีที่พนักงานประสงค์จะขอลาออกจะต้องยื่นใบลาออกล่วงหน้า 30 วัน และจะต้องให้ผู้บังคับบัญชาอนุมัติเสียก่อน

            คุณนงนุชแกก็ทำตามระเบียบโดยยื่นใบลาออกตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม โดยให้ใบลาออกมีผลวันที่ 1 เมษายน เมื่อยื่นใบลาออกแล้วคุณนงนุชก็ยังมาทำงานอยู่ จนอีกสองสามวันจะถึงวันที่ 1 เมษายน ที่มีผลการลาออก หัวหน้าก็มาบอกคุณนงนุชว่าใบลาออกยังไม่ได้รับอนุมัติเลยให้อยู่ช่วย ๆ กันไปก่อนนะ

            เมื่อถึงวันที่ 1 เมษายน คุณนงนุชก็เลยมาทำงานแล้วก็ทำงานต่อไปอีก 1 เดือน จนถึงวันที่ 1 พฤษภาคม หัวหน้าก็เดินมาบอกคุณนงนุชว่าใบลาออกได้รับการอนุมัติแล้ว เพราะฉะนั้นวันพรุ่งนี้ (2 พฤษภาคม) ไม่ต้องมาทำงานแล้ว

            คุณนงนุชก็เลยบอกกับหัวหน้าไปว่า “จะทำอย่างนี้ได้ยังไง เพราะหนูก็มาทำงานให้อีกตั้งเดือนหนึ่งแล้ว และก็คิดว่าบริษัทจะให้หนูทำงานต่อไป หนูก็อุตส่าห์ปฏิเสธงานที่ใหม่ไปแล้วด้วย ถ้าจะให้ออกบริษัทก็ต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงาน และค่าบอกกล่าวล่วงหน้ามาให้เสียดี ๆ เพราะถือว่าบริษัทเลิกจ้างหนูแล้ว”

            ข้างฝ่ายหัวหน้าก็บอกว่า “บริษัทคงจ่ายให้หนูไม่ได้หรอก เพราะหนูอยากเขียนใบลาออกเอง และตามระเบียบบริษัทใบลาออกก็ต้องให้ฝ่ายบริหารอนุมัติเสียก่อนถึงจะมีผล พอดีผู้มีอำนาจอนุมัติเขาไปเมืองนอกเพิ่งกลับมาเซ็น ดังนั้นบริษัทจะจ่ายให้เฉพาะเงินเดือนที่หนูทำในเดือนเมษายนก็แล้วกันนะ ถ้าอยากจะได้ค่าชดเชยก็เชิญหนูไปฟ้องศาลแรงงานเลย แต่คงไม่ชนะหรอกเพราะบริษัทมีใบลาออกของหนูเป็นหลักฐานอยู่แล้ว....”

          กรณีข้างต้นนี้ ท่านคิดว่าเป็นการลาออก หรือการเลิกจ้างครับ ?

            เพราะถ้าเป็นการลาออกเอง บริษัทก็ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้า แต่ถ้าเป็นการเลิกจ้าง (ใบลาออกไม่มีผล) บริษัทก็ต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าอีกด้วย !

            ให้เวลาคิดครับ ติ๊กต่อก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

            คิดออกแล้วใช่ไหมครับ !

            คำตอบสุดท้ายคือ “กรณีนี้ถือเป็นการเลิกจ้าง” ครับ

            ลองดูคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีนี้ดูสิครับ

ฎ.2214/2542

การลาออกเป็นสิทธิของลูกจ้างที่จะลาออกเมื่อใดและกำหนดวันลาออกของตนได้ แต่หลังจาก

ครบกำหนดตามที่ระบุในใบลาออก ลูกจ้างยังคงทำงานต่อมาโดยนายจ้างยินยอมให้ทำงาน

กรณีดังกล่าวถือได้ว่าลูกจ้างนายจ้างไม่ติดใจเอาใบลาออกเป็นข้อสำคัญอีกต่อไป

ใบลาออกดังกล่าวจึงสิ้นผล

หลังจากนั้นอีก 1 เดือน นายจ้างแจ้งให้ลูกจ้างทราบว่านายจ้างอนุมัติให้โจทก์ลาออกได้

จึงเป็นกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง

            จากแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าว คงจะทำให้ท่านได้ข้อคิดในบางเรื่องแล้วนะครับ กล่าวคือ เมื่อพนักงานสิ้นสภาพแล้วไม่ว่าด้วยสาเหตุใด บริษัทไม่ควรปล่อยให้พนักงานเข้ามาทำงานตามปกติเหมือนที่เคยทำ เพราะถ้าทำอย่างนั้นก็จะเป็นการแสดงเจตนารับพนักงานเข้าทำงาน ดังนั้นเมื่อพนักงานที่พ้นสภาพไปแล้ว เมื่อเขามาติดต่ออะไรกับบริษัทก็ควรจะให้เขาอยู่ในส่วนของผู้มาติดต่อคือต้องปฏิบัติเสมือนผู้มาติดต่อหรือลูกค้าทั่วไป ไม่ควรปล่อยให้ไปนั่งทำงานตามปกติเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอย่างกรณีข้างต้นยังไงล่ะครับ



...........................................................