วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2566

การขึ้นเงินเดือนประจำปีและจ่ายโบนัสควรมีวิธีจัดการยังไง ?

           หลักเกณฑ์ในการขึ้นเงินเดือนประจำปีหรือจ่ายโบนัสควรจะต้องแจ้งให้พนักงานทราบตั้งแต่ต้นปี (ต้นงวด) เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันว่าจะต้องทำงานอะไรมากน้อยแค่ไหนสำคัญยังไง ซึ่งหลายบริษัทก็จะมีการนำเอาระบบประเมินผลงานเข้ามาอธิบายและตั้งตัวชี้วัดต่าง ๆ ก็ว่ากันไป

และเมื่อถึงปลายปี (หรือใกล้สิ้นงวด) ก็จะผลการประเมินมาพิจารณาเพื่อขึ้นเงินเดือนประจำปีหรือจ่ายโบนัสตามผลงานที่แต่ละคนทำได้

วิธีปฏิบัติในเรื่องการขึ้นเงินเดือนประจำปีของแต่ละบริษัทก็จะแตกต่างกันไปตามนโยบายของฝ่ายบริหาร

บางบริษัทก็ให้ HR เป็นคนจัดสรรงบประมาณขึ้นเงินเดือนและโบนัสของคนทั้งบริษัทตามผลประเมิน

หรือพูดง่าย ๆ ว่า Line Manager มีหน้าที่ประเมินผลงานลูกน้องแล้วส่งผลประเมินมาให้ HR หยอดเงิน

ซึ่งวิธีนี้ก็จะมีดราม่าตามมามากมาย เพราะถ้าเวลาพนักงานไม่ Happy กับเม็ดเงินที่ได้ หัวหน้าก็จะตอบง่าย ๆ ว่า “ไปถาม HR เอาเอง” ก็มักจะเป็นที่มาของคำว่า “ใคร ๆ ก็เกลียด HR

แต่บางบริษัทก็ใช้วิธีกระจายอำนาจโดยแจ้งงบประมาณขึ้นเงินเดือนไปให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาขึ้นเงินเดือนและจ่ายโบนัสให้สอดคล้องกับการประเมินผลลูกน้องของตัวเอง ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ผมแนะนำให้ทำเพราะหลักการง่าย ๆ คือ “หัวหน้าควรจะเป็นคนรู้ดีที่สุดว่าลูกน้องคนไหนทำงานดีหรือไม่ดียังไงและใครควรจะเป็นคนได้ Rewards ให้เหมาะสมกับผลงานที่ทำมาตลอดทั้งปี”

หัวหน้าจึงควรจะต้องเป็นคนที่ให้คุณให้โทษกับลูกน้องได้ตามหลักการ Carrot & Stick

โดยวิธีปฏิบัติควรจะเป็นไปตามนี้ครับ

1.      HR เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มการขึ้นเงินเดือนประจำปีของทั้งตลาดภาพรวมและคู่แข่งพร้อมข้อเสนอแนะมาหารือร่วมกับฝ่ายบริหารเพื่อกำหนดว่าปีนี้บริษัทควรจะขึ้นเงินเดือนประจำปีกี่เปอร์เซ็นต์ หรือจ่ายโบนัสกี่เดือน

2.      เมื่อได้รับอนุมัติจากฝ่ายบริหารว่าปีนี้บริษัทจะขึ้นเงินเดือนประจำปีในค่าเฉลี่ยกี่เปอร์เซ็นต์และค่าเฉลี่ยการจ่ายโบนัสแล้ว HR ก็จะมาคำนวณงบประมาณของแต่ฝ่าย

3.      จัดสรรและแจ้งงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีและโบนัสไปให้ผู้บังคับบัญชาของแต่ละหน่วยงานได้ทราบและให้พิจารณาการขึ้นเงินเดือนและโบนัสให้กับลูกน้องของตัวเองตามผลประเมินการปฏิบัติงาน

4.      การจัดสรรงบประมาณของแต่ละฝ่ายนั้นควรจะแยกงบประมาณขึ้นเงินเดือนและโบนัสตาม Job Grade เช่น งบประมาณของ Officer, Supervisor, หัวหน้าแผนก, ผู้ช่วยผู้จัดการ, ผู้จัดการ ฯลฯ

ไม่ควรนำมารวมเป็นงบประมาณก้อนเดียวกัน เพราะถ้าขืนเอามารวมเป็นก้อนใหญ่ก้อนเดียวทั้งฝ่ายแล้วตัดเกรดจากผลการประเมินรวมกันก็จะเกิดปัญหาว่าหัวหน้าที่ตำแหน่งสูงกว่าและเงินเดือนสูงก็จะกินงบประมาณของลูกน้อง (ผู้ใหญ่กินเงินเด็ก) เนื่องจากฐานเงินเดือนโตกว่าลูกน้อง

จึงต้องแยกออกจากกันและพิจารณางบประมาณกันในตำแหน่งที่อยู่ใน Job Grade ของตัวเอง

5.      อาจจะมีคำถามว่าแล้วถ้าหน่วยงานนั้นมี Supervisor เพียงคนเดียวแล้ว Supervisor ก็มีผลงานดีเยี่ยมหรือทำงานทะลุเป้า KPIs ได้รับการประเมินเกรด A แต่งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจะได้เพียงค่าเฉลี่ยซึ่งก็มักจะเป็นเกรด C จะทำยังไง

คำตอบคือ Supervisor คนนี้จะได้รับการขึ้นเงินเดือนเบื้องต้นคือค่าเฉลี่ยเสียก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาดูว่าหลังการจัดสรรงบประมาณทั้งฝ่ายแล้วยังมีงบเหลือพอจะมาใส่ให้ Supervisor คนนี้เพิ่มได้หรือไม่

ถ้าไม่มีงบเหลือผู้บริหารในหน่วยงานนี้ก็ต้องทำเรื่องขอไปที่กรรมการผู้จัดการเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเรื่องพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับ Supervisor ทุกคนนะครับ และผู้บริหารในหน่วยงานนั้นจะต้องพิสูจน์ (โดยมีข้อมูลที่สนับสนุนเป็นรูปธรรมอย่างเพียงพอเพื่อให้ฝ่ายบริหารยอมรับ) ให้ได้ว่าผลงานของ Supervisor คนนี้เป็นที่ยอมรับและบริษัทจำเป็นจะต้องรักษาเอาไว้จริง ๆ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการอนุมัติฝ่ายบริหารก็ต้องพร้อมรับความเสี่ยงที่ Supervisor คนเก่งคนนี้อาจจะลาออกไป

บางบริษัทอาจใช้วิธีกันงบประมาณไว้จำนวนหนึ่งเพื่อหยอดให้กับคนที่เป็น Talent ตัวจริงเสียงจริงครับ ซึ่งคนที่เป็น Talent ตัวจริงเหล่านี้ก็ไม่ได้มีมากมายอะไรนักถ้าบริษัทมี Criteria ในการ Identify ให้ชัดเจน

          ถ้าจะถามว่าทำยังไงให้กระบวนการทั้งหมดนี้ยุติธรรมไม่ให้มี Bias

ก็ตอบได้ว่าเรื่องของคนประเมินนั้นคงห้าม Bias ได้ยาก อยู่ที่ว่าผู้ประเมินจะมี Bias มากหรือน้อยหรือมีความเที่ยงตรงแค่ไหนเท่านั้นแหละ

เพราะต่อให้องค์กรมีระบบการประเมินที่ดียังไง แต่สุดท้ายคนประเมินก็ยังจะเข้ามาแทรกแซงระบบได้อยู่เสมอ (ถ้าคิดอยากจะแทรกแซง) แหละครับ

            ถ้าผู้ประเมินขาดความเที่ยงตรงและเป็นธรรมในที่สุดกฎแห่งกรรมก็จะลงโทษเขาเอง นั่นคือคนที่ทำงานดีมีฝีมือก็จะขอย้ายไปหน่วยงานอื่นหรือลาออกไปในที่สุด หน่วยงานนั้นก็จะไม่มีคนดี ๆ มีความสามารถอยากอยู่ด้วย

แต่ถ้าผู้ประเมินมีความเที่ยงตรงจัดสรรงบประมาณขึ้นเงินเดือนและจ่ายโบนัสได้อย่างสอดคล้องกับผลงานของลูกน้องแต่ละคน หัวหน้าคนนั้นก็จะยังรักษาลูกน้องมือดีเอาไว้ได้ซึ่งตัวหัวหน้าเองก็จะได้รับอานิสงส์จากลูกน้องที่เก่ง ๆ เหล่านี้ในที่สุดเช่นเดียวกันครับ