วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ถ้าไม่มีโครงสร้างเงินเดือนจะเกิดอะไรขึ้น ยกเลิกการทำโครงสร้างเงินเดือนดีไหม?


            “โครงสร้างเงินเดือน” คงจะเป็นเรื่องแสลงใจสำหรับคนที่เป็นผู้บริหารและพนักงานบางคนที่ไม่อยากจะให้มีขีดจำกัดในเรื่องเพดานเงินเดือนตัน (Maximum-Max) มาปิดกั้น ทางฝั่งพนักงานที่อยู่มานานแต่ไม่มีศักยภาพไม่อยากจะรับผิดชอบอะไรให้มากไปกว่านี้ก็จะบอกว่าไม่เป็นธรรมที่คนทำงานมาตั้งนานทำไมเงินเดือนต้องตันด้วย (แต่พูดก็พูดเถอะโครงสร้างเงินเดือนที่ออกแบบมาดี ๆ จะไม่ได้ทำให้คนเงินเดือนตันง่ายเหมือนกับที่ชอบมโนกันไปล่วงหน้าหรอกซึ่งผมเคยเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในบล็อกของผมแล้วไปหาอ่านได้ครับ)

            พอ ๆ กับผู้บริหารบางคนก็จะมองในทำนองเดียวกันว่าไม่อยากให้ลูกน้องเงินเดือนตันเพราะลูกน้องอยู่มานานแล้วและก็ทำงานดีในงานที่ทำอยู่ (แต่ก็เป็นการทำงานแบบเดิมที่เคยทำมาหลายปีแบบ Routine จนเป็นความเคยชิน) ถ้าลูกน้องเงินเดือนตันก็กลัวว่าลูกน้องจะเสียกำลังใจในการทำงาน ก็เลยหาเหตุผลเข้าข้างลูกน้องว่าอยู่มานานแล้วทำไมต้องเงินเดือนตันด้วย แถมคิดไปอีกว่านี่เราจะมองแต่เรื่องค่างานไม่มองเรื่องคุณค่าของคนเลยหรือไง ผลงานของคนสำคัญกว่าเรื่องค่างานก็ควรจะจ่ายตามผลงานสิ ฯลฯ

          เรียกว่าเริ่มเอาเรื่องค่างานมาปนกับเรื่องค่าของคน (อยู่ที่คนของใคร) ทำให้ยิ่งสับสนเกิดดราม่ากันเข้าไปอี๊ก

            ในเรื่องของค่างาน (Job Value) ในตำแหน่งต่าง ๆ กับเรื่องค่าของคน (Performance) หรือผลการปฏิบัติงานมีความแตกต่างกันยังไงนั้น และคนที่ไม่เคยทำงานด้านนี้มักจะนำมาปะปนกันโดยใช้ความรู้สึกแบบไม่แยกแยะยังไง ผมก็เคยอธิบายไว้หลายครั้งแล้วในบทความต่าง ๆ เช่น “ความเข้าใจที่สับสนระหว่างการประเมินค่างานและการประเมินผลการปฏิบัติงาน” หรือหนังสือที่ผมให้ดาวน์โหลดฟรีคือ “การประเมินค่างานและการทำโครงสร้างเงินเดือน(ภาคปฏิบัติ)” หรือ “25 คำถามเกี่ยวกับโครงสร้างเงินเดือนจากประสบการณ์” สามารถดาวน์โหลดและหาอ่านได้จากบล็อกของผมนะครับจะได้ไม่ต้องมาพูดเรื่องเหล่านี้ซ้ำอีก

            เรากลับมาพูดกันในประเด็นว่าถ้าไม่มีโครงสร้างเงินเดือนจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นดีกว่า ผมสรุปว่าถ้าไม่มีโครงสร้างเงินเดือนผลจะเป็นอย่างงี้ครับ

1.      องค์กรจะไม่มีมาตรฐานในการจ้างคนนอกที่ชัดเจน ไม่มีหลักอะไรให้พิจารณาได้เลยว่าการจ้างผู้สมัครงานในแต่ละตำแหน่งนั้นเหมาะหรือไม่ องค์กรจะจ่ายมาก (Over Pay) หรือน้อย (Under Pay) เมื่อเทียบกับตลาดที่เขาจ่ายกันอยู่ ขึ้นอยู่กับความพอใจและการใช้อารมณ์ของผู้บริหารมากกว่าข้อมูลและเหตุผล ถ้าผู้บริหารสัมภาษณ์แล้วถูกใจก็อาจจะยอมจ่ายแพงโดยใช้ความรู้สึกซึ่งพอไม่มีโครงสร้างเงินเดือนก็จะไม่มีอะไรมาบอกให้เรารู้ได้ว่าการจ่ายเพื่อจ้างคนนอกเข้ามานั้นแพงหรือไม่เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดที่เขาจ่ายกัน ซึ่งจะมีผลกับ Staff Cost ขององค์กรในที่สุด

2.      ไม่มีมาตรฐานในการปรับเงินเดือนคนในเมื่อ Promote (Promote from within) องค์กรจะไม่มีหลักเกณฑ์ที่อ้างอิงได้ว่าเงินเดือนของพนักงานที่ถูก Promote เหมาะสมหรือไม่ มากหรือน้อยไปไหมเมื่อเปรียบเทียบกับตลาด องค์กรปรับเงินเดือนให้ Over หรือ Under Pay เพราะไม่มีกรอบการจ่ายเมื่อเทียบกับตลาดแข่งขันที่ชัดเจน ในที่สุดก็หนีไม่พ้นการใช้ “ความรู้สึก” ในการปรับเงินเดือนเมื่อ Promote อีกตามเคย แล้วปัญหาที่ตามมาก็คือพนักงานที่ถูก Promote เกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรมในการปรับเงินเดือน กลายเป็นพนักงานรู้สึกติดลบกับผู้บริหารเมื่อได้รับการ Promote

3.      เกิดปัญหาคนลาออกเพราะความไม่เป็นธรรม จากการใช้ “ความรู้สึก” หรือ “หลักกู” ในการกำหนดอัตราจ้างคนใหม่ หรือการปรับเงินเดือนคนในเมื่อ Promote ก็จะทำให้ทั้งพนักงานที่เข้าใหม่และพนักงานที่ได้รับการ Promote ล้วนเกิดปัญหาได้ทั้งสิ้น และหลายครั้งจะเกิดปัญหา “ผู้สมัครขอมากให้มาก (ถ้าผู้บริหารรู้สึกพอใจ) หรือผู้สมัครขอน้อยก็ให้น้อย”

            ที่สำคัญคือองค์กร (หรือ HR) จะไม่มี “หลักเกณฑ์” ที่น่าเชื่อถือใด ๆ มาอธิบายให้เขาเหล่านั้นฟังได้เลยว่าทำไมถึงปรับเงินเดือนเขาเท่านั้น หรือทำไมถึงกำหนดอัตราเข้าใหม่ให้เขาเท่านี้ คนที่ไม่พอใจก็มักจะลาออกไปในที่สุด องค์กรก็ต้องมาเสียเวลาเสียค่าใช้จ่ายหาคนใหม่ทดแทนกันอีก นี่ยังไม่รวมคนที่ไม่ลาออกแต่ก่อปัญหาแรงงานสัมพันธ์สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในองค์กรอีกต่างหาก เช่น การเฉื่อยงาน, ชลองาน, ทำให้ข้าวของเสียหาย ฯลฯ ซึ่งอันนี้จะเป็นความเสียหายที่เป็นรายจ่ายแบบสะสมสำหรับองค์กรไม่น้อยเลยนะครับ

4.      Staff Cost บวมและบานไปเรื่อย ๆ จากการใช้ “ความรู้สึก” ในการกำหนดอัตราจ้างคนใหม่หรือปรับเงินเดือนคนในเมื่อ Promote โดยมีไม่โครงสร้างเงินเดือนที่ชัดเจนก็จะเกิดปัญหา Over Pay จากประสบการณ์ด้านค่าตอบแทนผมมักพบอยู่เสมอว่าบริษัทจะจ่ายเงินเดือนให้กับคนที่ทำงานมานานในหลายตำแหน่ง (ที่นายชื่นชอบโดยใช้ความรู้สึก) แบบ Over Pay (คือเงินเดือนที่จ่ายให้พนักงานมากกว่า Midpoint หรือค่าที่ตลาดเขาจ่ายกันอยู่โดยเฉลี่ย) โดยไม่รู้ตัว ก็จะทำให้ Staff Cost บวมและบานปลายไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการควบคุมเพราะองค์กรนั้นไม่มีโครงสร้างเงินเดือน

          Staff Cost ที่บวมนี้ไม่ใช่แค่เพียงฐานเงินเดือนของคนที่เงินเดือนเกินค่ากลางเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง Cost ทุกตัวที่คำนวณจากฐานเงินเดือนที่จะบวมตามไปด้วย เช่น การขึ้นเงินเดือนประจำปี, การปรับเงินเดือน, การจ่ายโบนัส, เงินสมทบ Provident Fund, ประกันสังคม, OT, ค่าชดเชย, ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ฯลฯ องค์กรหลายแห่งที่ไปไม่รอดไม่สามารถแข่งขันได้เพราะแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเกินค่าเฉลี่ยของตลาดเป็นจำนวนมากแบบนี้ไม่ไหวในที่สุดก็ต้อง Lay off หรือปิดกิจการ คนที่น่าสงสารที่สุดคือคนที่ตั้งใจทำงาน มีผลงาน พัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าแต่มาวันหนึ่งต้องมาพลอยตกงานเพราะคนที่ไม่พัฒนาตัวเองทำงานแค่จบไปวัน ๆ แต่ได้ขึ้นเงินเดือนมากขึ้นไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีเพดานตันโดยอ้างแค่ว่า “อยู่มานานกว่า” หรือ “เป็นคนเก่าแก่” เพียงคำเดียว

5.      ไม่สามารถรักษาคนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือเอาไว้ได้ ลูกน้องที่ทำงานมางานแต่ทำงานเหมือนเดิมจะมีเงินเดือนมากกว่าหัวหน้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง มีความรู้ความสามารถในงานแต่อายุงาน (และอายุตัว) น้อยกว่าลูกน้องที่ทำงานมาหลายสิบปีที่เป็นคนเก่าแก่แต่ขาดศักยภาพที่จะไปต่อ ในที่สุดหัวหน้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ก็จะลาออกเพราะไม่มีหลักเกณฑ์อะไรจะไปอธิบายให้เขาเข้าใจได้ว่าทำไมถึงเงินเดือนน้อยกว่าลูกน้อง และเมื่อไหร่เขาจะมีเงินเดือนมากกว่าลูกน้อง

6.      เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับคนรุ่นหลัง จากการที่คนรุ่นหลัง ๆ เห็นว่ารุ่นพี่ ๆ เขาอาศัยแค่ทำงานอยู่มานาน ไม่เห็นต้องรับผิดชอบอะไรให้มากขึ้น  เพียงแค่ทำงานแบบเดิม ๆ ทำไปเรื่อย ๆ เงินเดือนก็จะได้ขึ้นไปทุก ๆ ปีไม่มีตันแบบ No Limit ชีวิตไม่ต้อง Active อะไรมาก ก็จะคิดว่างั้นเราก็ทำเหมือนพี่แหละคือทำงานไปเรื่อย ๆ เมื่อบริษัทจะมอบหมายให้รับผิดชอบอะไรเพิ่มขึ้นก็ไม่เอาจะขอทำงานเหมือนเดิมเท่าเดิมไปเรื่อย ๆ ก็พอแล้ว เพราะยังไงก็ได้ขึ้นเงินเดือนไปทุกปีแถมไม่มีตัน ถามว่าในระยะยาวองค์กรนั้น ๆ จะยังสามารถแข่งขันได้อยู่หรือไม่

7.      การขึ้นเงินเดือน/ปรับเงินเดือนทุกอย่างจะใช้ “หลักกู” เหนือ “หลักเกณฑ์” โดยไม่มีหลักอะไรมาอธิบายหรือตอบคำถามพนักงานที่ชัดเจนได้นอกจากคำว่า “เพื่อความเหมาะสม” หรือ “ก็คน ๆ นั้นเขาทำงานดีมีผลงาน” อยู่ที่ว่าผู้บริหารจะขึ้นเงินเดือนให้ใครหรือปรับให้ใครก็ได้ บางคนเป็นลูกรัก MD ก็จะได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนแบบก้าวกระโดด ในขณะที่คนที่เป็นลูกชังก็จะถูกกดเงินเดือนไว้ขึ้นอยู่กับใจผู้บริหารเป็นหลัก

            ซึ่งวิธีการปรับขึ้นเงินเดือนตามความพอใจของ MD หรือผู้บริหารไม่ใช่เรื่องใหม่เลยนะครับ เป็นเรื่องเก่าที่มีมานานมากแล้ว เป็นแนวคิดของเถ้าแก่ที่ใช้ความรู้สึกของตัวเองเป็นหลักมากกว่าการมองเห็นความสำคัญของระบบ

                ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้ก็มาจากประสบการณ์ของคนที่ทำงานด้าน Com & Ben (Compensation & Benefits) ซึ่งผมเชื่อว่าคนที่ทำงานด้าน Com & Ben จะเห็นตรงกันว่าการมีโครงสร้างเงินเดือนในองค์กรย่อมดีกว่าไม่มี

            ในขณะที่คนที่ไม่เคยทำงานด้านนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ Staff Cost และรายงานเกี่ยวกับข้อมูล Staff Cost หรือไม่เคยต้องอธิบายหลักการบริหารค่าจ้างเงินเดือนให้กับฝ่ายบริหาร, พนักงาน, สหภาพแรงงานได้เข้าใจ หรือไม่เคยต้องรับผิดชอบระบบงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีทั้งองค์กร หรือไม่เคยต้องตอบคำถามกับประธานสหภาพแรงงานที่เขามีข้อสังสัย ฯลฯ ก็จะมองโครงสร้างเงินเดือนอย่างผิวเผินเหมือนคนนอกทั่วไปว่าเป็นเรื่องไม่จำเป็น

          จึงสรุปตรงนี้ว่า “โครงสร้างเงินเดือนไม่ใช่แค่เพียงเครื่องมือ..แต่คือ “กติกา” ในการบริหารค่าจ้างเงินเดือน” ที่ทำให้เกิดเป็นธรรมกับทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนายจ้างหรือลูกจ้าง ทั้งยังใช้เป็นกติกาในการตอบคำถามผู้คนในองค์กรในการดูแล Staff Cost และควบคุมงบประมาณด้านคนให้เหมาะสมและใช้เป็นเครื่องมือสำคัญทำให้เกิดความเสมอภาคและเป็นธรรมเพื่อลดปัญหาและสร้างแรงงานสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร

            ถ้าจะว่าไปแล้วโครงสร้างเงินเดือนก็เหมือนกับหมวกกันน็อคแหละครับ คนที่ไม่เห็นความสำคัญก็จะไม่ชอบหมวกกันน็อคจะบอกว่าทำไมต้องมีกฏหมายให้ใส่หมวกกันน็อคด้วยใส่แล้วอึดอัดไม่สะดวกเพราะฉันอยากขี่มอไซค์ให้ลมโกรกหน้าซะหน่อยเรื่องอะไรจะเอาหมวกกันน็อคมาครอบหัวฉันเอาไว้ด้วยล่ะ ควรจะยกเลิกกฎหมายหมวกกันน็อคซะดีกว่าแถมไม่ต้องเปลืองเงินซื้อหมวกอีกต่างหาก

            แต่คนที่เป็นนักแข่งมอเตอร์ไซค์มืออาชีพหรือคนที่เคยประสบอุบัติเหตุมาแล้วรวมทั้งคนที่มองไกลไม่มองใกล้ถึงจะบอกได้ว่าหมวกกันน็อคมีความสำคัญยังไง ฉันใดก็ฉันนั้นแหละครับ

……………………………..