ผมเห็นการตั้งคำถามแบบนี้บนโลกออนไลน์แล้วก็มีคนเข้ามาตอบกัน
เจ้าของกระทู้ถามว่าบริษัทให้เงินเดือนเด็กจบใหม่มากกว่าคนเก่าที่ทำงานมาก่อน
4 ปี โดยยกตัวอย่างว่านาย A เริ่มทำงานด้วยเงินเดือน
16,000 บาท ทำงานผ่านไป 4 ปีได้ขึ้นเงินเดือนปีละ
5 เปอร์เซ็นต์ทำให้เงินเดือนปีที่ 4 เท่ากับ
19,448 บาท
แล้วบริษัทก็รับนาย B จบใหม่เข้ามาทำงานในตำแหน่งเดียวกับนาย
A โดยให้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 20,000 บาท
แล้วมาให้คนเก่าสอนงานเสียอีกต่างหาก ก็เลยทำให้นาย A ไม่อยากสอนงานนาย
B
ถามว่าเพราะอะไรบริษัทถึงทำอย่างนี้
ผมว่าถ้าผู้ถามได้อ่านบทความที่ผมเคยเขียนไปเมื่อปีที่แล้วคือ
“การขึ้นเงินเดือนประจำปีไม่ใช่ความก้าวหน้า” (ไปเสิร์จหาคำนี้ในกูเกิ้ลดูนะครับ)
จะเข้าใจสัจธรรมเรื่องนี้ได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ผมยังมีข้อคิดเพิ่มเติมแบบตรงไปตรงมาในมุมมองของผมดังนี้
1. ต้องยอมรับความจริงว่าอัตราเติบโตของเงินเดือนภายนอกบริษัทมีมากกว่าในบริษัทตามภาพสถิติการปรับค่าจ้างขั้นต่ำย้อนหลังปี
2550 ถึง 2568 จะเห็นได้ว่าเรามีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยปีละประมาณ
7.5% ซึ่งการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะมีผลกระทบถึงอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิต่าง
ๆ และการปรับค่าจ้างคนเก่าหนีคนใหม่ มากบ้างน้อยบ้าง
2. นาย
A จะอ้างว่าทำงานมานานกว่านาย B เด็กใหม่
แต่การทำงานมานานกว่าไม่ได้แปลว่าจะมีผลงานที่ดีกว่าหรือมีศักยภาพหรือขีดความสามารถสูงกว่าคนใหม่เสมอไป
เพราะการที่บริษัทจะตั้งเงินเดือนให้กับคนเข้าใหม่
หรือจะปรับขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานคนไหนก็มักจะเป็นไปตามสูตร
เงินเดือน/ค่าจ้าง = P+C (P=Performance-ผลงาน และ C=Competency-ความสามารถ)
เมื่อนาย A ทำงานมา 4 ปีแต่ได้ขึ้นเงินเดือนปีละ
5% มาโดยตลอด ก็แสดงว่าบริษัทมองว่านาย A มี P+C เท่าที่บริษัทขึ้นเงินเดือนให้คือตามค่าเฉลี่ยปีละ
5% นาย A ก็เลยมีอัตราเงินเดือนปัจจุบัน
20,000 บาท
ซึ่งการตั้งเงินเดือนคนเข้าใหม่หรือการปรับขึ้นเงินเดือนพนักงานนั้น
ฝ่าย HR ไม่ได้มีอำนาจอนุมัติไปปรับขึ้นให้ใครได้เองนะครับ HR
เป็นเพียงผู้นำเสนอตัวเลขที่เห็นว่าเหมาะสมให้กับฝ่ายบริหารพิจารณาเพื่ออนุมัติ
ซึ่งก็แปลว่านี่เป็นการพิจารณาของฝ่ายบริหาร (หรือบริษัท) แล้วว่าใครจะมี P+C
ที่บริษัทเห็นความสำคัญมาก-น้อยแค่ไหน
3. จากสองปัจจัยหลัก
ๆ ตามข้อ 1และข้อ 2 คืออัตราเติบโตของเงินเดือนภายในบริษัทต่ำกว่าการเติบโตภายนอก
และนาย A ก็มี P+C ที่ยังไม่เข้าตาผู้บริหาร
ในขณะที่บริษัทเห็นว่านาย B น่าจะมีศักยภาพมากกว่านาย A
จึงตัดสินใจจ้างนาย B เข้ามาในเงินเดือนที่สูงกว่าที่นาย
A ได้รับอยู่ในปัจจุบัน
4. คำถามก็คือนาย
A ควรจะทำยังไงดีระหว่างการบ่นด่าว่าบริษัท (และ HR) กับการคิดหาทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง?
5. ถ้านาย
A เชื่อมั่นว่าตัวเองมีความรู้ความสามารถ (มี P+C) หรือเรียกว่าพัฒนาตัวเองจน “มีของ” บริษัทก็จะต้องหาทาง Promote ปรับเงินเดือนให้นาย A เพื่อรักษาไว้ตาม P+C ที่ผู้บริหารมองเห็น
แต่ถ้าบริษัทมองไม่เห็น “ของ” ที่นาย A มี
ก็ถึงเวลาที่นาย A จะต้องร้องเพลงของพี่ตูนบอดี้สแลมคือ
“เรือเล็กควรออกจากฝั่ง” แล้วออกไปแตะขอบฟ้าที่อื่นที่ไม่ใช่บริษัทนี้แล้วแหละครับ
และควรจะเริ่มคิดหาวิธีออกจากฝั่งนี้ไปตามความเชื่อมั่นของเราที่ฝั่งใหม่ได้แล้ว
6. แต่ถ้านาย
A ยังไม่ตัดสินใจจะทำอะไรและยังคงทำงานเหมือนเดิมต่อไปก็ต้องยอมรับสภาพที่เป็นอยู่
มีคำ ๆ หนึ่งที่กำลังฮิตจากซีรีย์เรื่องสงครามส่งด่วนคือ
“ถอนขนนกกระจอกกับถอนขนไก่ใช้เวลาเท่ากัน เลือกเป้าหมายให้ดี“
สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ทัศนคติ” ของตัวเราเอง
อย่ามัวคิดแต่เสียเวลาคิดก่นด่าว่าคนอื่น หรือดูถูกตัวเองว่าเรามันไม่มีความสามารถ
เรามันแย่ เรามันไม่มีหนทางจะไป ฯลฯ
ใครดูถูกเราก็ไม่เท่าเราดูถูกตัวเอง!
ลองมาทบทวนดูว่าตัวเรามีความรู้ความสามารถอะไรบ้างและเราได้ใช้ความสามารถของเราอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง
ถ้าทางเดินในปัจจุบันมันถึงทางตันแล้วเราจะยังคงดันทุรังเดินหน้าต่อไปในทางตันโดยไม่หาทางเดินใหม่เลยหรือครับ
ผมเชื่อว่าหนทางของความสำเร็จจะมีอยู่เสมอถ้าเรามองหามัน!
มีคำคมของไอน์สไตน์ก็คือ....
“ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่มีความสุข จงพันธนาการชีวิตด้วยจุดหมาย
ไม่ใช่ผู้คนหรือสิ่งอื่นใด” (If you want to live a happy life, tie it to
a goal, not to people or things.)
ถ้าใครที่มีปัญหาคับข้องใจเหมือนกับชื่อบทความนี้เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว
น่าจะคิดได้แล้วนะครับว่าเราควรจะมามัวเสียเวลาพันธนาการชีวิตของเราเอาไว้อยู่กับบริษัทนี้หรือพันธนาการชีวิตเราอยู่กับการเปรียบเทียบเงินเดือนกับคนเข้าใหม่พร้อมกับด่าบริษัทแบบนี้ไปเรื่อย
ๆ วนเวียนเหมือนพายเรือในอ่างอยู่อย่างนี้
หรือถึงเวลาที่เราควรจะต้องเริ่มกำหนดจุดหมายในชีวิตให้ชัดเจน
แล้วเริ่มต้นออกเดินไปสู่เป้าหมายที่เรากำหนดเสียที
เรื่องไหนควรจะเป็นเรื่องที่เราใช้เวลาคิดหาทางแก้ปัญหานี้มากกว่ากันนะครับ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ