วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2563

9 สาเหตุสำคัญที่ทำให้การประเมินผลการปฏิบัติงานล้มเหลว

             การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทุกบริษัทจะต้องมี ซึ่งถ้าจะพูดถึงวัตถุประสงค์ในเรื่องนี้ก็คงมีหลายข้อ แต่วัตถุประสงค์หลักที่สำคัญก็คือนำมาใช้ประกอบการพิจารณาขึ้นเงินเดือนประจำปี จ่ายโบนัส และเลื่อนระดับชั้นตำแหน่ง

            ซึ่งระบบหรือวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานที่นิยมใช้กันในสมัยก่อนก็จะเป็นการประเมินผลแบบ “จิตสัมผัส” หรือเรียกให้เพราะ ๆ แบบฝรั่งว่า “Graphic Rating Scale” คือมีหัวข้อหรือปัจจัยประเมินผลงานแบบสำเร็จรูป เช่นหัวข้อปริมาณงาน, คุณภาพงาน, ความรู้ในงาน, ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์, ความขยันอดทน ฯลฯ แล้วก็แบ่ง Scale การประเมินเป็น 4 หรือ 5 เกรดในแต่ละปัจจัยเช่น A B C D E หรือ 5 4 3 2 1 แล้วบอกว่าถ้าใครได้ประเมินเกรด A หรือ 5 ก็ดีเลิศ ถ้าได้ C หรือ 3 ก็ปานกลาง ถ้าได้ E หรือ 1 ก็แย่สุดหรือผลงานใช้ไม่ได้ แล้วก็มีการสรุปผลการประเมินโดยรวมว่าทุกปัจจัยที่ประเมินแล้วสรุปว่าผู้ถูกประเมินควรจะได้เกรดใด

            ต่อมาก็เริ่มมีระบบการประเมินผลงานแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปีพศ. 2497 คือ MBO (Management by Objectives) แล้วต่อมาในปี 2535 ก็มีแนวคิดเรื่อง Balanced Scorecard (BSC) ตามมา

ซึ่งวิธีการประเมินผลงานแบบใหม่รุ่นหลัง ๆ มานี้ผมว่าล้วนแต่นำไอเดียของ MBO ของ Dr.Peter Drucker เป็นต้นแบบแล้วก็ดัดแปลงเรียกชื่อใหม่ให้ดูดีมีชาติตระกูล

            แต่ระบบการประเมินผลงานแบบใหม่จะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือมีตัวชี้วัดหลักที่สำคัญหรือที่เรียกว่า Key Performance Indicators หรือมี KPIs ที่สามารถจับต้องได้วัดได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าการประเมินผลงานแบบจิตสัมผัสแบบเดิม

สาเหตุสำคัญที่ทำให้การประเมินผลล้มเหลว

            ไม่ว่าระบบการประเมินผลงานจะใช้แบบไหนแบบใหม่หรือแบบเก่า แต่ปัจจัยหลักที่จะบอกได้ว่าการประเมินผลงานจะแม่นตรงได้แค่ไหนก็ยังคงอยู่ที่หัวหน้าผู้ประเมินเป็นหลักอยู่ดี

            เราลองมาดูกันสิครับว่าอาะไรบ้างเป็นสาเหตุที่ทำให้การประเมินผลล้มเหลว

1.      หัวหน้าผู้ประเมินไม่เข้าใจระบบ/วิธีการประเมิน แม้หลายบริษัทจะจัดการอบรมหรือทำ Workshop เกี่ยวกับการประเมินผลงานโดยมีตัวชี้วัดหลักหรือ KPIs แล้วก็ตาม แต่หัวหน้าผู้ประเมินก็ยังไม่เข้าใจในเรื่องการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน จึงกำหนดตัวชี้วัดแบบตามใจตัวเองหลายครั้งก็ไม่สอดคล้องกับแผนงานของบริษัทหรือไม่สอดคล้องกับฝ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง

2.      ผู้ประเมินไม่เคยคุยกับลูกน้องเกี่ยวกับเป้าหมายและงานที่ลูกน้องจะต้องทำให้สอดคล้องกับเป้าหมาย เรียกว่าผู้ประเมินเอาแบบฟอร์มประเมินผลของลูกน้องมานั่งประเมินไปโดย ความรู้สึก ของตนเองโดยไม่เคยพูดคุยเรื่องเป้าหมายและงานที่ต้องทำกับลูกน้องเลย

3.      KPIs ที่กำหนดขัดแย้งกันเองและไม่สะท้อนผลงานของลูกน้อง ซึ่งก็มักจะเกิดจากการตั้งตัวชี้วัดหลักหรือ KPIs แบบที่หัวหน้าคิดเอาเองแถมไม่เคยมีการประชุมร่วมกันกับหน่วยงานอื่นนี่แหละครับจึงทำให้ต่างฝ่ายต่างกำหนด KPIs ของตัวเองขึ้นมาแบบมั่ว ๆ ทำให้การกำหนดตัวชี้วัดเป็นการกำหนดเพียงให้เป็นไปตามที่เบื้องบนสั่งมาให้ทำแค่นั้นเอง

4.      หัวหน้าผู้ประเมินใช้อคติส่วนตัวในการกำหนด KPIs ให้ลูกน้อง เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ครับ นั่นคือถ้าใครเป็นลูกรักของหัวหน้าก็จะกำหนด KPIs แบบไม่ยากนักหลับตาทำงานก็ได้ A ในขณะที่ถ้าใครเป็นลูกชังละก็ KPIs จะยากโหดหินแบบที่ใครก็ไม่มีวันทำได้ตามเป้า

5.      ใช้การประเมินผลเป็นเครื่องมือในการลงโทษลูกน้อง ตามหลักการที่ดีของการประเมินผลการปฏิบัติงานคือเมื่อตกลงกันเรื่อง KPIs ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องเมื่อต้นงวดเสร็จแล้ว หัวหน้าผู้ประเมินควรจะติดตามผลการทำงานของลูกน้องเป็นระยะ เช่น ทุกไตรมาสควรจะดูว่าลูกน้องทำงานได้ตามเป้าหมายหรือไม่ มีปัญหาอุปสรรคอะไรบ้างจะได้ช่วยลูกน้องแก้ปัญหาเหล่านั้นเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ในตอนปลายงวด แต่ก็จะมีหัวหน้าประเภทที่ไม่เคยติดตามผลแต่จะคอยเฉ่งตอนสิ้นงวดแล้วใช้ลงโทษลูกน้องโดยขึ้นเงินเดือนและจ่ายโบนัสให้น้อยหรือไม่ให้เลย 

6.      หัวหน้าผู้ประเมินไม่ได้ให้ความสำคัญกับการประเมินผลอย่างจริงจัง เรียกได้ว่าประเมินผลไปสักแต่ให้พ้น ๆ เสร็จ ๆ ไปเพื่อจะได้ส่งฝ่ายบุคคลได้ทันตามกำหนด ซึ่งหากใครได้ผู้บังคับบัญชาประเภทนี้ก็ถือว่าเป็น กรรม นะครับที่มีหัวหน้างานที่ เห็นแก่ตัว เพราะใบประเมินผลการปฏิบัติงานนี้จะต้องถูกเก็บไว้ในแฟ้มประวัติของพนักงานไปโดยตลอด และจะถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาในโอกาสต่าง ๆ เช่น การให้ผลตอบแทน , การเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่ง ฯลฯ ซึ่งท่านที่เป็นผู้ประเมินลองคิดดูให้ดีนะครับว่าถ้าเราถูกกระทำเช่นนี้แล้วเราจะรู้สึกอย่างไร

7.      หัวหน้าผู้ประเมินขาดคุณธรรมในการประเมินผล เรียกว่าผู้ประเมินมีความลำเอียง หรือไม่ชอบพนักงานคนนั้น ๆ เป็นการส่วนตัวจึงทำให้ประเมินผลพนักงานผู้นั้นไปตาม อารมณ์ และ ความรู้สึก ของตน มากกว่าการพิจารณาจากผลงานที่ทำได้จริง

8.      หัวหน้าผู้ประเมินขาด ทักษะ ในการประเมินผล ในเรื่องนี้มีอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นทักษะในการพูดคุยสื่อสารกับพนักงาน , สอนงาน, ทักษะในการติดตามงาน , ทักษะในการแจ้งผลการประเมิน ฯลฯ ซึ่งในเรื่องนี้คงจะต้องเป็นหน้าที่ขององค์กรที่จะต้องหาทางเสริมสร้างทักษะเหล่านี้ให้กับหัวหน้าผู้ประเมินแล้วล่ะครับ

9.      หัวหน้าขาดทักษะในการแจ้งผลและไม่แจ้งผลการประเมินให้พนักงานทราบ บ่อยครั้งที่พอหัวหน้าประเมินผลเสร็จแล้วก็จะรีบส่งแบบประเมินผลให้กับฝ่ายบุคคลโดยเร็ว และไม่แจ้งผลประเมินให้กับลูกน้องทราบ ทำให้ตัวพนักงานเองก็ไม่ทราบว่าหัวหน้ามองตนเองอย่างไร งานที่ตนเองทำนั้นถูกต้องตรงกับที่หัวหน้าต้องการหรือไม่ ฯลฯ ซึ่งหลายครั้งพบว่าหัวหน้าผู้ประเมินขาดทักษะในการแจ้งผลอย่างสร้างสรรค์ให้ลูกน้องปรับปรุงตัวเอง

จากที่ผมเล่าให้ฟังข้างต้นนี่แหละครับที่ทำให้ระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานเกิดปัญหาขึ้น ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่นั้นมาจากผู้ประเมินนะครับ ที่ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ติดตามมาเป็นดราม่าในภายหลังอีกมากมายหลายเรื่อง

            หากองค์กรใดยังปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้สะสมไว้เรื่อย ๆ วันหนึ่งเมื่อพนักงานขององค์กรนั้นเจริญเติบโตขึ้นไปเป็นผู้บริหารเป็นผู้ประเมินผลพนักงานระดับล่างรุ่นต่อๆ ไปแบบเดียวกับที่ตัวเองเคยโดนมาก็จะเป็นวงจรอุบาทว์อยู่อย่างนี้ พนักงานที่ทำงานดีมีความสามารถก็จะหมดกำลังใจและหาทางหนีจากองค์กรนั้นไปในที่สุด.

                                                             …………………………