วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สรุปกระบวนการพัฒนาบุคลากรตาม Functional Competency (ตอนที่3)



เอาล่ะครับ จากตอนที่ผ่านมาผมเชื่อว่าท่านคงจะเห็นภาพและเข้าใจเรื่องของ Common FC และ TC พอสมควรแล้วนะครับ ในตอนที่ 3 นี้เราก็มาว่ากันใน Step ต่อไปเลยดังนี้ครับ....
 
            1. เมื่อสรุปได้แล้วว่า FC ของแต่ละหน่วยงานมีอะไรบ้าง ก็ต้องมาเขียนนิยามระดับความสามารถ (Proficiency Level Definition – PL) คือคำอธิบายระดับของขีดความสามารถของ FC โดยแบ่งเป็นระดับ ซึ่งส่วนมากก็จะกำหนดไว้ 4-5 ระดับ
            สำหรับการเขียนระดับความสามารถนี้ผมถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของระบบ Competency เลยนะครับ เพราะถ้าเขียนนิยามความสามารถในแต่ละระดับเอาไว้ชัดเจน ก็จะทำให้ผู้ประเมินสามารถประเมินได้แม่นยำถูกต้อง และเราจะนำนิยามแต่ละระดับไปใช้ต่อในเรื่องการคิดหลักสูตรฝึกอบรมหรือวิธีการพัฒนาบุคลากรให้เป็นไปตามระดับของความสามารถของ FC แต่ละตัว แถมยังนำไปใช้ในการเตรียมตั้งคำถามตาม Competency (อ่านเรื่อง “เราจะนำ Competency มาใช้ในการสรรหาคัดเลือกบุคลากรได้อย่างไร” ได้นะครับ) ได้อีกด้วย
             ผมถึงมักจะบอกเสมอว่าการเขียนนิยามระดับ PL ไม่ควรลอกจากตำราหรือลอกมาจาก Competency Dictionary แต่ควรเขียนขึ้นมาจากความต้องการของหน่วยงานว่าต้องการเห็นผู้ปฏิบัติงานมีพฤติกรรมหรือมีความสามารถแบบไหนอย่างไรที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างที่เราต้องการในแต่ละระดับ PL
            เพราะคำนิยามในตำรานั้นจะเพียงแต่ยกตัวอย่างให้ผู้อ่านเห็นแนวทางการเขียนนิยามระดับ PL ที่จะต้องมีระดับความสามารถเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยังไงเท่านั้น เพื่อให้ผู้อ่านนำไปประยุกต์และเขียนด้วยตัวเอง ไม่ได้มีเจตนาจะให้ Copy ไปทั้งกระบิหรอกนะครับ
            เพราะผมเห็นหลายองค์กรลอก Dictionary ไปแทบทั้งหมด แล้วพอประเมิน Competency ก็เกิดปัญหาว่าประเมินไม่ได้บ้าง    ไม่ตรงกับความเป็นจริงบ้างเพราะเขียนนิยาม PL ไว้กว้าง ๆ คลุมเครือ ไม่ชัดเจน หรือไม่เหมาะกับลักษณะงานที่หน่วยงานต้องการ ฯลฯ
          ดังนั้น แต่ละหน่วยงานจึงจำเป็นต้องเขียนนิยามระดับ PL ด้วยตัวเองและจะให้ใครมาเขียนแทนก็ไม่ดีเท่ากับหน่วยงานเขียนเองหรอกครับ !!
            แต่ถ้าท่านจะถามว่า “แล้วจะเขียนยังไงดีล่ะ ?” อันนี้คงต้องมาคุยกันหลังไมค์เพราะถ้าจะให้อธิบายด้วยการเขียนเป็นหนังสือยังไงท่านก็คงไม่เข้าใจเหมือนกับการหัดขับรถที่จะต้องไปขับจริง ๆ ถึงจะเข้าใจว่าวิธีการบังคับควบคุมรถจะต้องทำยังไง ถ้าให้มาสอนกันเป็นหนังสือยังไงก็คงขับรถไม่เป็นอยู่ดีจริงไหมครับ
 
            2. เมื่อเขียนนิยาม PL ได้เรียบร้อยแล้วเราก็จะนำ FC ทั้งหมดไปออกแบบใบประเมินระดับสมรรถนะ (Competency Appraisal Form) และกำหนดระดับความคาดหวัง (Expected Competency) ว่าในตำแหน่งต่าง ๆ ของแต่ละหน่วยงานนั้นเมื่อพิจารณาจากนิยาม PL แล้ว หน่วยงานคาดหวังขีดความสามารถไว้ที่ระดับใดสำหรับตำแหน่งใด
            3.หลังจากนั้นแต่ละหน่วยงานก็นำ FC พร้อมทั้งนิยาม PL ของ FC แต่ละตัวมาพิจารณาหลักสูตรหรือวิธีการพัฒนาบุคลากรในหน่วยงานของตัวเอง โดยหลักการก็คือ หลักสูตรฝึกอบรมหรือวิธีการพัฒนานั้นจะต้องสอดคล้องกับนิยามระดับ PL ของ FC แต่ละตัว ไม่ควรมีหลักสูตรหรือวิธีการพัฒนาที่ไม่เกี่ยวข้องกับ FC เช่น ฝ่ายบัญชีมี FC คือ
-          ความรู้หลักการบัญชี
-          ทักษะการปิดงบการเงิน
-          ทักษะการวิเคราะห์งบการเงิน
            ก็ไม่ควรมีหลักสูตรการพัฒนาบุคลิกภาพสำหรับพนักงานบัญชี เพราะหลักสูตรดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ FC ทั้ง 3 ตัวนี้เลย เป็นต้น
            4. เมื่อกำหนดหลักสูตรหรือวิธีการพัฒนาเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องมานั่งคิดว่าควรจะต้องมีเนื้อหาหรือ Outlineของแต่ละหลักสูตรหรือวิธีการพัฒนาอะไรบ้างเพื่อนำมากำหนดเป้าหมายและติดตามผลการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ซึ่งการกำหนดเป้าหมายเพื่อติดตามผลนี้ก็เป็นไปในรูปแบบ KPIs นั่นเองครับ เพื่อทำให้องค์กรใช้เงินงบประมาณในการจัดฝึกอบรมหรือพัฒนาได้อย่างคุ้มค่าและเห็นผลลัพธ์เกิดขึ้นจริงนั่นเอง
            5. แล้วเราก็นำหลักสูตรหรือวิธีการพัฒนา (ไม่ว่าจะเป็น OJT, มอบหมายงานพิเศษให้ทำ,ส่งไปดูงาน, ให้เรียนรู้แบบ Self Learning ฯลฯ) ไปบรรจุไว้ในแผนพัฒนาบุคลากรระยะยาวที่เรียกว่า “Training Roadmap” หรือผมอยากจะใช้ชื่อว่า “Development Roadmap” เพราะการพัฒนาคนนั้นไม่ควรใช้วิธีการฝึกอบรมเพียงอย่างเดียวแต่ควรมีวิธีอื่น ๆ ด้วย เช่น การสอนงาน, การส่งไปดูงาน, การมอบหมายงาน ฯลฯ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายคือให้คนในหน่วยงานนั้น ๆ มี FC ได้ตามที่องค์กรคาดหวังยังไงล่ะครับ
            6. สุดท้ายก็มาทำแผนพัฒนารายบุคคล (Individual Development Plan – IDP) โดยผู้บังคับบัญชาก็จะต้องประเมิน FC ลูกน้องแต่ละคนเสียก่อน แล้วมาวิเคราะห์ดูว่าลูกน้องแต่ละคนยังขาดความสามารถ (หรือที่เรียกว่า Competency Gap”) อะไรบ้าง แล้วถึงจะไปดูว่าใน FC ที่ลูกน้องของเราคนนั้น ๆ ยังขาดอยู่น่ะควรจะพัฒนาให้มีขีดความสามารถด้วยหลักสูตรใดหรือพัฒนาด้วยรูปแบบใด (ตามที่คิดไว้ก่อนแล้วในข้อ 6,7,8) แล้วก็ไปลงไว้ในแผน IDP แล้วก็เรียกลูกน้องมาคุยว่าในปีหน้าบริษัทจะพัฒนาลูกน้องที่ยังขาดความสามารถในเรื่องใด ด้วยวิธีใด และจะพัฒนาเมื่อไหร่และจะมีการติดตามผลการพัฒนาอย่างไร
            กระบวนการทั้งหมดตามที่ผมอธิบายมาทั้งหมดนี้แหละจะเป็นประโยชน์อย่างมากมายสำหรับบริษัทที่นำระบบ Competency มาใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาบุคลากรให้มีขีดความสามารถอย่างที่องค์กรคาดหวัง ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถแข่งขันอยู่รอดได้ในอนาคตและยังทำให้องค์กรมุ่งไปสู่ความเป็นองค์กรที่มีศักยภาพสูง (High Performance Organization – HPO) ในที่สุดครับ
.........................................