วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่..ทำไงดี?

            เคยไหมครับ?

            เคยมีประสบการณ์แบบที่ว่า อยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ของเราหัวหน้าไม่เคย Assign งานที่สำคัญ ๆ ให้เราเลย หรือมอบหมายงานอะไรมาก็ไม่ให้อิสระในการทำงาน ไม่ไว้ใจในการทำงานของเรา คอยตามจิกงานอยู่ตลอดแบบว่ากดดันอยู่ตลอดจนบางครั้งเราก็สงสัยว่าชาติที่แล้วหัวหน้าเกิดเป็นไก่หรือเปล่า ชาตินึ้ถึงได้จิกเอาจิกเอา

            เมื่อถึงจุดหนึ่งก็เลยเป็นฟางเส้นสุดท้ายทำให้ต้องไปหางานใหม่ ตอนไปสัมภาษณ์คุยกับที่ใหม่ก็ดูเหมือนจะไปได้ดี เพราะว่าที่หัวหน้าก็พูดว่าจะ Support เราให้ทำงานได้ตามที่เรา Present เอาไว้เต็มที่

แถมยังมีสัญญิงสัญญาเอาไว้เป็นสัญญาใจว่าเมื่อครบโปรฯ 120 วันจะปรับเงินเดือนเพิ่มให้ และสัญญาว่าจะให้โบนัสเท่ากับคนที่ทำงานเต็มปีซะอีก

            เพราะเบื่อที่ปัจจุบันก็เลยไปหาที่ใหม่แบบเรือเล็กออกจากฝั่ง แล้วเห็นว่าอีกฝั่งหนึ่งคงจะมีความหวังมีความฝันที่น่าจะเป็นจริงได้รออยู่ ยังไงก็คงจะดีกว่าที่เก่าแหละน่า

            แต่พอตัดสินใจสละเรือลำเก่าไปขึ้นเรือลำใหม่ ในช่วง Probation ก็ยังเหมือนกับ Honey Moon Period ยังมีบรรยากาศในการทำงานที่แรก ๆ ดูว่าหัวหน้าในที่ใหม่จะ Support เหมือนที่เคยคุยกันไว้

            แต่พอพ้นช่วงโปรฯ เงินที่เคยสัญญาว่าจะปรับให้ก็ไม่ได้ปรับ แถมพอสิ้นปีที่เคยบอกว่าจะให้โบนัสก็ไม่ได้ซะงั้น ยังดีที่ประเมินให้เราผ่านโปรฯ บรรจุเป็นพนักงานประจำ

            แต่ก็ไม่ได้แจ้งผลให้เรารู้ด้วยว่าเรามีอะไรที่บกพร่องต้องแก้ไขหรือไม่

            บรรยากาศเดิม ๆ คล้าย ๆ กับที่ทำงานเดิมเริ่มเวียนกลับมา

            หัวหน้าไม่ค่อยให้เวลาเข้าไปพบเพื่อพูดคุยเรื่องงาน จะเรียกไปก็เพราะต้องการจะสั่งงานให้ไปทำในช่วงเวลาไม่นานนักแล้วก็คอยตามจิกว่างานที่สั่งไปได้แล้วหรือยัง

ถ้าส่งงานได้ทันตามกำหนดก็แค่เสมอตัว

แต่ถ้าส่งงานช้าเพราะยังติดปัญหาหลาย ๆ เรื่องเนื่องจากงานที่หัวหน้าสั่งไม่ใช่งานโดยตรงของเรา แต่เราไม่เข้าใจเพราะไม่เคยรู้เรื่องรู้ปัญหาที่มาที่ไปในอดีตของเรื่องที่สั่งมาก่อน ครั้นจะขอเวลาเพื่อถามปัญหาเรื่องที่ยังไม่เข้าใจหัวหน้าก็ไม่มีเวลาให้ แต่ดันมีเวลาให้เลขาโทรมาตามจิกงานเร่งให้ทำเสร็จตามกำหนด

พอเอางานไปส่งให้แต่ไม่ได้อย่างที่ใจหัวหน้าต้องการก็จะเห็นความไม่พอใจในแววตาของหัวหน้าได้ชัดเชียวแหละ

ฝั่งใหม่ที่คาดไว้ว่าจะดีกว่าฝั่งเก่าก็ไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ซะแล้ว

จะทำไงดี?

แต่ละคนคงจะมีวิธีแก้ปัญหานี้แตกต่างกันไป

สำหรับวิธีแก้ปัญหาของผม ๆ เสนออย่างนี้ให้ลองพิจารณาดูนะครับ

1.      List ปัญหาในการทำงานของเราเอาไว้เป็นข้อ ๆ ว่ามีอะไรบ้าง

2.      ปัญหาแต่ละข้อเรามี Solution ในการแก้ในมุมมองของเราเป็นยังไงบ้าง ย้ำว่าทุกข้อปัญหาต้องมีทางแก้ของเราเอาไว้ล่วงหน้า อย่าไปคุยโดยมีแต่ปัญหาแล้วไม่มีทางแก้นะครับ

3.      นัดหมายวันเวลาสถานที่กับหัวหน้าที่จะเข้าไปคุยโดยระบุเลยว่าเรื่องนี้ซีเรียสและขอคุย

4.      ถ้าคุยกันแล้วสามารถเคลียร์ใจได้ ทุกอย่างเป็นไปในทางบวก ทุกข้อปัญหามีทางแก้ไขตามที่หัวหน้าและเราตกลงกันได้ ก็จบทำงานกันต่อไป

จากประสบการณ์ของผมก็มีโอกาสเป็นไปได้เยอะนะครับ เพราะปัญหาทำนองนี้ส่วนใหญ่มักเกิดจากขาดการสื่อสารที่ชัดเจนระหว่างเราและหัวหน้า

หลักที่สำคัญคือ “ยิ่งสื่อสารกันมากขึ้นยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น”

5.      แต่ถ้าคุยแล้วไม่สามารถหาข้อยุติได้ เคลียร์กันไม่ลง ก็คงต้องมาคิดวางแผนแล้วว่าเวทีนี้เรายังมีโอกาสแสดงฝีมืออะไรได้อีกหรือไม่ ถ้าคิดรอบคอบคิดทุกอย่างดีแล้วเห็นว่าที่นี่ก็คงไม่ใช่เวทีของเรา ไม่ใช่สนามของเรา ก็ถึงเวลาที่ต้องหาเวทีใหม่หาสนามใหม่แล้วครับ

6.      จากข้อ 5 ควร Keep Record เอาไว้อย่างน้อยสัก 1 ปี เพราะ

6.1   ไม่เสียประวัติว่าทำงานที่นี่ในระยะเวลาที่น้อยจนเกินไป เวลาไปสมัครงานในที่ใหม่จะได้ไม่ทำให้ทั้ง HR และกรรมการสัมภาษณ์ที่ใหม่รู้สึก “เอ๊ะ”

6.2   ระยะเวลา 1 ปีก็ต้องคิดเสียว่าเราไม่ได้เสียเวลาเปล่านะ แต่เราใช้เวลาประมาณ 1 ปีนี้ก็เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราเคยเจออะไรที่ไม่ดี เคยเจอกับปัญหาอะไรบ้าง แล้วเราก็ได้เรียนรู้ว่าเราแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เพราะอะไร ในวันข้างหน้าประสบการณ์เหล่านี้จะได้เป็นข้อคิดเตือนใจในการทำงานของเรากับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าหรือเป็นลูกน้องของเราต่อไป

ประสบการณ์ทั้งหมดที่เราผ่านมานี้ผมว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีในการทำงานนะครับ แม้ว่าในระหว่างที่เราเจอมรสุมจะรู้สึกแย่ รู้สึกท้อ รู้สึกเบื่อ ฯลฯ ไปบ้าง แต่ประสบการณ์เหล่านี้จะทำให้เราแกร่งขึ้น รู้จักศิลปะในการทำงานกับคนแต่ละระดับ รวมถึงวิธีการดีลกับคนแต่ละระดับได้ดียิ่งขึ้น

            เป็นกำลังใจให้คนทำงานทุกคนและเชื่อว่าแนวทางข้างต้นจะมีส่วนช่วยให้ข้อคิดเพื่อแก้ปัญหาในการทำงานนะครับ