ก่อนจะเข้าเรื่องขอทำความเข้าใจกันก่อนว่าคำว่า “หัวหน้างาน” นั้นผมหมายถึง “คนที่มีลูกน้อง” ไม่ว่าจะใช้ชื่อเรียกเป็นทางการว่าอะไรก็ตาม เช่น ลีดเดอร์, ซุปเปอร์ไวเซอร์, ผู้ช่วยผู้จัดการ, ผู้จัดการ ฯลฯ หรือแม้แต่เป็นกรรมการผู้จัดการหรือ CEO ขององค์กร ผมก็ขอเรียกรวม ๆ ว่าเป็น “หัวหน้างาน” นะครับ
เรื่องที่ผมเอามาแลกเปลี่ยนกันในวันนี้เป็นเรื่องที่เรามักจะพบเจออยู่เสมอ
ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมของหัวหน้างานที่เมื่อทำไปแล้วก็มักจะเกิดปัญหาตามมา
ซึ่งบางครั้งหัวหน้างานเหล่านั้นก็รู้ว่าตัวเองไม่ควรทำแบบนั้น
แต่หลายครั้งหัวหน้างานก็ไม่รู้หรือคิดไม่ถึงว่าทำอย่างงั้นแล้วจะเกิดปัญหาตามมาภายหลัง
เรามาดูกันสิครับว่ามีเรื่องอะไรกันบ้างที่หัวหน้างานไม่ควรทำ
1. ตั้งหลักเกณฑ์กติกาของตัวเองขึ้นมาใช้กับลูกน้องทั้ง
ๆ ที่บริษัทก็มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนอยู่แล้ว
เช่น
บริษัทกำหนดหลักเกษฑ์การลากิจไว้ว่าต้องเป็นการลาเพื่อกิจธุรที่จำเป็นต้องไปทำด้วยตัวเองและต้องยื่นใบลากิจล่วงหน้าอย่างน้อย
3 วัน
หัวหน้าก็อนุญาตให้ลูกน้องที่เป็นลูกรักลากิจรวมกับวันลาพักร้อนเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ
หรืออนุมัติให้ลูกรักที่ขาดงานโดยไม่มีเหตุผลที่สมควรเมื่อวานนี้ยื่นใบลากิจย้อนหลังได้
ส่วนลูกชังก็ต้องลากิจตามระเบียบ
ซึ่งก็จะทำให้ลูกน้องมองว่าหัวหน้างานใช้หลักกูเหนือหลักเกณฑ์เลือกปฏิบัติ
ทำตามใจฉัน ไม่ยุติธรรม ฯลฯ
2. ประเมินผลการปฏิบัติงานลูกน้องแบบได้เท่ากันหมดทุกคนเช่น
ประเมินผลการปฏิบัติงานของลูกน้องโดยให้เกรด C เท่ากันทุกคนในแผนก
ซึ่งทำให้ลูกน้องจะได้รับการขึ้นเงินเดือนในเปอร์เซ็นต์ที่เท่ากัน
และได้รับการพิจารณาโบนัสในอัตราที่เท่ากัน
ลองถามใจท่านดูสิครับว่าถ้าเราทำงานขยันขันแข็ง
อุตส่าห์สร้างผลงาน ทำงานด้วยความรับผิดชอบอย่างดี
พัฒนาตัวเองให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ฯลฯ
แต่เราก็ได้รับการขึ้นเงินเดือนหรือได้โบนัสเท่า ๆ กับคนที่ไม่มีผลงาน
ขี้เกียจตัวเป็นขน อู้งาน หลบเลี่ยงโบ้ยงาน ฯลฯ
อย่างนี้มันยุติธรรมกับเราหรือเปล่า ?
3. ไม่เคยสอนงานให้ลูกน้องและไม่เคยสนับสนุนให้ลูกน้องก้าวหน้า
ยังมีหัวหน้างานอีกไม่น้อยเลยนะครับ ที่ไม่เคยสอนงานลูกน้องเลย
ไม่เคยคิดที่จะถ่ายทอดความรู้ในงานไปสู่ลูกน้อง เก็บงำความรู้ตลอดจนข้อมูลสำคัญ ๆ
ในงานเอาไว้ที่ตัวเอง เพราะมีทัศนคติแบบแคบ ๆ ว่าขืนไปสอนงานให้ลูกน้องรู้งานมากเดี๋ยวจะมาวัดรอยเท้าเรา
หรือคิดว่าถ้าสอนงานลูกน้องเดี๋ยวลูกน้องจะมีความสำคัญมากกว่าเรา
หรือถ้าลูกน้องเก่งกว่าเรา เดี๋ยวบริษัทก็เขี่ยเราออกกันพอดี ฯลฯ
หรือบางหัวหน้าก็เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
คือหัวหน้างานที่เก่งทุกอย่างจนผมมักจะเรียกว่าเป็น
“หัวหน้างานแบบเทพมาเกิด” คือมีความรู้ความสามารถในงานทุกอย่าง
และเติบโตก้าวหน้ามาด้วยความเก่งของตัวเองโดยที่ไม่เคยมีหัวหน้าต้องสอนสั่งอะไรเลย
ก็เลยคิดว่าลูกน้องก็ต้องเก่งเหมือนเราสิ ถ้าลูกน้องไม่ขวนขวายและเก่งเหมือนเราก็ช่วยไม่ได้
ก็อย่าหวังจะก้าวหน้าเลยแล้วกัน
หัวหน้าบางคนหนักกว่านั้นคือนอกจากไม่สอนงานแล้วยังชอบด่าลูกน้องที่ทำงานไม่ได้อย่างใจอีกต่างหาก
จากที่ผมบอกมานี่แหละครับจึงทำให้หัวหน้างานเหล่านี้ไม่เคยสอนงานลูกน้อง
ไม่สนับสนุนลูกน้องให้ก้าวหน้า และจะทำให้ลูกน้องที่เก่ง ๆ
หรือรักความก้าวหน้าจะขอย้ายหรือขอลาออกในที่สุด
4. ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง
หัวหน้างานประเภทนี้มักเอาความคิดเห็นของตัวเองเป็นใหญ่
แม้จะมีการประชุมทีมงานกี่ครั้งกี่หนตัวเองก็จะเป็นคนผูกขาดการพูดในที่ประชุมเสียเป็นส่วนใหญ่
เมื่อบอกให้ลูกน้องเสนอความคิดเห็นก็จะดูเหมือนรับฟัง แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นแบบ
“ฟังแต่ไม่ได้ยิน” เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่ตัวเองคิดมาแล้ว
หัวหน้างานประเภทนี้จะจัดให้มีการประชุมเหมือนการ
“แก้บน”
เป็นพิธีกรรมปะหน้าเพื่อเอาไว้บอกใครต่อใครว่าฉันก็มีการประชุมทีมงานขอความคิดเห็นจากลูกน้องอยู่เป็นประจำก็เท่านั้นแหละครับ
(แต่ไม่เคยฟังลูกน้อง) แต่ความจริงคือให้ลูกน้องมาประชุมเพื่อฟังว่าหัวหน้าต้องการอะไรเสียมากกว่าครับ
5. โบ้ยความรับผิดชอบ
ไม่แก้ปัญหา และไม่กล้าตัดสินใจ
ในการทำงานก็ย่อมมีปัญหาเป็นธรรมดาแต่หัวหน้าประเภทนี้จะคอยฟุตเวิร์คหลบเลี่ยงปัญหาอยู่ตลอด
เช่น
เวลามีหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบจากการทำงานของหน่วยงานของเราเข้ามาตำหนิต่อว่า
ก็จะให้ลูกน้องออกไปรับหน้าแทนแล้วตัวเองก็จะหลบอยู่เบื้องหลังฉากคอยฟังผลจากลูกน้องว่าเขามาต่อว่าอะไรบ้าง
แล้วก็ให้ลูกน้องออกไปโต้ตอบคู่กรณีแทน
หลายครั้งที่เมื่อลูกน้องมีปัญหาเข้ามาถามหัวหน้างานประเภทนี้ก็จะคอยว่าคอยตำหนิว่าลูกน้องทำงานมาหลายปีแล้วทำไมไม่รู้จักคิดแก้ปัญหาเองบ้างรึไง
ต้องให้พี่คิดทุกเรื่องเลยหรือ ให้กลับไปแก้ปัญหามาให้เรียบร้อยก็แล้วกัน
แต่พอลูกน้องกลับไปคิดแก้ปัญหาเองแล้วผิดพลาดอีกก็จะเรียกลูกน้องมาด่าอีก ฯลฯ
6. ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ EQ
มีปัญหา
หัวหน้างานประเภทนี้เป็นหัวหน้างานที่ลูกน้องเอือมระอามากถึงมากที่สุดนะครับ
พฤติกรรมพื้นฐานที่พบได้เสมอคือ จุดเดือดต่ำ ฟิวส์ขาดง่าย
อารมณ์ร้ายโวยวายเสียงดัง มีวาจาเป็นอาวุธและมีดาวพุธเป็นวินาศ
ลูกน้องทำดีไม่เคยจำแต่พอทำพลาดก็ไม่เคยลืม ฯลฯ
จากที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ก็อยากจะให้คนที่เป็นหัวหน้างานลองกลับมา
Feedback ทบทวนตัวเองกันดูนะครับว่าเรามีพฤติกรรมต่าง ๆ
เหล่านี้บ้างหรือไม่
ถ้ามีจะหาวิธีลดพฤติกรรมเหล่านี้ลงไปได้ยังไงเพื่อจะได้เป็นอานิสงส์ทั้งกับลูกน้องและองค์กร
รวมถึงการทำงานร่วมกันให้ราบรื่นดีขึ้น
ส่วนท่านที่เป็นลูกน้องแล้วเจอหัวหน้าที่มีพฤติกรรมอย่างที่ผมบอกมาข้างต้นก็ถือคติที่ว่า
“เราเลือกหัวหน้าที่ดีสำหรับเราไม่ได้..แต่เราเลือกเป็นหัวหน้าที่ดีสำหรับลูกน้องได้”
ถ้าเรากำลังเจอหัวหน้าที่ไม่ดีกับเราอยู่ในตอนนี้
คำถามก็คือแล้วเราจะเป็นหัวหน้างานแบบไหนกับลูกน้องของเราล่ะครับ ?