ถ้าจะถามว่าทำไมต้องมีการสัมภาษณ์ในขั้นสุดท้ายก่อนการตัดสินใจรับหรือไม่รับผู้สมัครงานรายนั้น ๆ เข้าทำงาน ก็คงจะตอบตามหลักจิตวิทยาง่าย ๆ ได้ว่าก็เพื่อดูตัวและพูดจากันให้แน่ใจอีกสักครั้ง
ซึ่งการสัมภาษณ์นี้เป็นการเจอกันแบบตัวเป็น ๆ หรือ Face to Face ระหว่างว่าที่ผู้บังคับบัญชาในอนาคตกับผู้สมัครงาน
หลายครั้งมักจะพบว่าผู้สัมภาษณ์ก็ไม่ได้เตรียมบทหรือคำถามใด ๆ มาก่อนการสัมภาษณ์เลย ผมก็เลยเรียกว่าใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบจิตสัมผัส (ที่เรียกว่าUnstructured Interview นั่นแหละครับ)
และมักจะถามคำถามแบบยกเคสหรือสมมุติเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา
แล้วก็ถามเพื่ออยากรู้ความคิดเห็นของผู้สมัครต่อกรณีนั้น ๆ ที่เรีกว่า Situation Interview)เช่น
“ถ้าคุณได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้างานแล้วลูกน้องของคุณกระด้างกระเดื่อง..คุณจะทำยังไง”
คุ้น ๆ กับคำถามทำนองนี้ไหมครับ?
คำถามที่เป็น
If clause ที่ขึ้นต้นว่า “ถ้า….คุณจะ….”
แล้วผู้สมัครก็จะตอบไปตามความคิดเห็นของตัวเองทั้ง
ๆ ที่อาจจะไม่เคยอยู่ในสถานการณ์นั้นจริง ๆ หรอก
แต่อาศัยว่าเป็นคนพูดเก่งพูดคล่องก็เลยฝอยเป็นคุ้งเป็นแควจนทำให้ผู้สัมภาษณ์ฟังแล้วเคลิ้มคิดว่าเก่งจริงก็เลยตัดสินใจรับเข้ามาทำงาน
แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะเจอเอาคนพูดเก่ง
ฝอยเก่ง Presentation ดี
แต่ขาดประสบการณ์ทำงานจริงก็เลยทำงานไม่ได้ตามที่คาดหวัง ไม่ผ่านโปร
แล้วก็ต้องกลับมานับหนึ่งหาคนใหม่กันอีก
การสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรม
(Behavioral Event Interview-BEI) ก็เลยเป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่เข้ามาช่วยให้ผู้สัมภาษณ์คัดกรองผู้สมัครงานให้ดีขึ้นได้
อันที่จริงแล้วการสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรม หรือ BEI นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้คงสงสัยหรืออยากจะรู้แล้วใช่ไหมครับว่าแล้วเจ้าวิธีการสัมภาษณ์งานเชิงพฤติกรรมเป็นยังไง
ก็ตอบได้ว่าหลักหรือหัวใจของการสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรมก็คือ การตั้งคำถามโดยให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ได้เล่าถึงประสบการณ์
หรือพฤติกรรมที่ผ่านมาในอดีตในเรื่องนั้น ๆ (ที่ผู้สัมภาษณ์ได้ตัวหัวข้อไว้แล้ว) ให้ผู้สัมภาษณ์ฟัง ยังไงล่ะครับ
อธิบายด้วยตัวอย่างดีกว่านะครับ เช่น
ถ้าเราตั้งหัวข้อเรื่องของ “ความคิดสร้างสรรค์” โดยอยากจะทราบว่าผู้สมัครงานในตำแหน่งงานนี้จะมีความคิดสร้างสรรค์เป็นยังไง
ถ้าเป็นวิธีการตั้งคำถามแบบทั่ว ๆ ไปก็คงจะถามแบบ
If clause ว่า “ถ้าคุณได้เข้าทำงานกับบริษัทเราแล้ว
คุณจะใช้ความคิดสร้างสรรค์ของคุณทำอะไรให้กับเราได้บ้าง...” หรือ “คุณจะมีวิธีกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ในทีมงานของคุณได้อย่างไร....”
เป็นยังไงบ้างครับกับคำถามทำนองนี้ แล้วถามว่าท่านจะได้คำตอบจากผู้สมัครงานอย่างไรล่ะครับ ?
ผู้สมัครงานที่พูดเก่ง Present
เก่ง หรือเก่งทฤษฎีก็จะฝอยกันเป็นคุ้งเป็นแควดูน่าเชื่อถือ คราวนี้ก็อยู่ที่ว่าผู้สมัครงานคนไหนจะฝอยได้เก่งกว่ากัน กรรมการสัมภาษณ์ก็มีแนวโน้มจะเชื่อผู้สมัครรายที่พูดเก่งพูดคล่องเสียด้วยสิ
แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไงล่ะครับว่าคนที่พูดเก่งจะทำงานได้จริงเหมือนที่พูดไว้?
คำตอบก็คือก็ต้องดูว่าเขาเคยมีประสบการณ์ทำเรื่องนั้น
ๆ มาบ้างหรือเปล่าล่ะครับ
เพราะคนที่เก่งทฤษฎีพูดเก่งอาจจะไม่เก่งปฏิบัติก็ได้ เข้าทำนอง “ท่าดี..ทีเหลว” เพราะไม่เคยปฏิบัติจริงไงครับ
จะรู้ว่าเขาจะทำได้จริงไหมก็ต้องถามประสบการณ์ในอดีตว่าเคยทำมาหรือมีประสบการณ์ในเรื่องนั้น
ๆ มาจริงหรือเปล่า
คำถามเชิงพฤติกรรมจึงจะเข้ามาช่วยยืนยันความมั่นใจให้กับผู้สัมภาษณ์ เช่น
“ลองเล่าให้ฟังสิว่า
คุณเคยทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นผลงานของตัวคุณเองจนประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างบ้าง”
ท่านสังเกตได้นะครับว่านี่คือการถามคำถามโดยให้ผู้ตอบได้เล่าถึงประสบการณ์หรือพฤติกรรมที่เกี่ยวกับหัวข้อ
“ความคิดสร้างสรรค์” ที่เคยทำมาในอดีต
ถ้าหากผู้สมัครงานไม่เคยทำมาก่อนจะเอาอะไรมาฝอยได้ล่ะครับ
แต่หากผู้สมัครงานบางรายที่มีไหวพริบอาจจะตอบแบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือพูดไม่จริงหรือสร้างเรื่องขึ้นแล้วจะทำยังไง –ท่านอาจจะถามผมอย่างนี้
ก็ตอบได้ว่าการสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรมก็ไม่ได้สอนให้เชื่อผู้ตอบในคำถามแรกคำถามเดียวนะครับ!
แต่จะมีกระบวนการถามแบบ
Cross check ด้วยรูปแบบ S T A R Model
S=Situation
เป็นคำถามเปิดประเด็นยกเรื่องราวหรือประสบการณ์ในอดีตของผู้สมัครให้สอดคล้องกับหัวข้อที่เราเตรียมไว้
T=Task งานที่ผู้สมัครเคยทำหรือเคยมีประสบการณ์คืออะไร
A=Action คือ ผู้สมัครเคยทำเรื่องนั้น ๆ มากน้อยแค่ไหน, มีปัญหาอย่างไรบ้าง, บทบาทหน้าที่ของผู้สมัครในเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างไร, งานที่รับผิดชอบเป็นอย่างไร ฯลฯ
C=Conclusion ว่าผู้สมัครได้ข้อคิดหรือได้เรียนรู้หรือได้รับผลจากประสบการณ์ครั้งนั้นอย่างไรบ้าง
ดังนั้น เทคนิคการสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรมจึงจำเป็นที่ต้องมีการฝึกฝนสำหรับผู้ทำหน้าที่ผู้สัมภาษณ์เสียก่อนไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ จะนำไปใช้ได้เลย ถ้าผู้สัมภาษณ์ได้รับการฝึกฝนมีทักษะหรือความเข้าใจดีแล้ววิธีการสัมภาษณ์แบบ
BEI จะช่วยให้สามารถคัดเลือกผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งงานได้ดีขึ้นกว่าการสัมภาษณ์แบบ
If clause เพียงอย่างเดียว
และสุดท้ายอย่าลืมว่าไม่ควรใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบจิตสัมผัส (Unstructured Interview) นะครับ
การเตรียมพร้อมเตรียมคำถามไว้ล่วงหน้า
การกำหนดเป้าหมายและเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจนแบบ Structured Interview ยังต้องเป็นแกนหลักในการสัมภาษณ์อยู่เสมอนะครับ
...............................