วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2568

ค่าตอบแทน-ค่าคน-ค่างาน สัมพันธ์กันยังไง?

 ผมเคยเขียนสมการหนี่งเอาไว้คือ

 ค่าตอบแทน  =  P+C

 P หมายถึง Performance หรือผลการปฏิบัติงาน 

 ส่วน C หมายถึง Competency คือสมรรถนะหรือความสามารถที่ประกอบด้วย K=Knowledge=ความรู้ในงานที่ทำ S=Skills=ทักษะในการลงมือทำงานนั้น และ A=Attributes=คุณลักษณะภายในตัวของผู้ปฏิบัติว่าเหมาะสมกับงานที่ทำมาก-น้อยแค่ไหน

 P+C คือคุณค่าในตัวคนที่ทำงานนั้น ๆ ถ้าองค์กรเห็นว่าพนักงานคนไหนมีคุณค่า (หรือ P+C) มากก็จะต้องรักษาเอาไว้ไม่ให้ถูกองค์กรอื่นดึงตัวไป

 หรือถ้าพนักงานคิดว่าองค์กรไม่เห็นคุณค่าในตัวเขาเท่าที่ควร เขายังได้เงินเดือนน้อยกว่าคุณค่าที่เขามี เขาก็จะลาออกไปอยู่องค์กรที่ให้เงินเดือนเหมาะกับคุณค่าที่มีในตัวเขา

 แล้ว “ค่างาน” (Job Value) ที่มาจากการประเมินค่างานล่ะจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับค่าตอบแทน-ค่าคนในสมการข้างต้นยังไง ?

 เพื่อให้เห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่าง “ค่าตอบแทน-ค่าของคน-ค่างาน” ผมเลยนำภาพด้านล่างมาอธิบายตามนี้ครับ

 1.      ถ้าพนักงานคนไหนมีผลงาน/ผลการปฏิบัติงาน (Performance) ที่ดีหรือมีสมรรถนะ/ขีดความสามารถ (Competency หรือมี K-S-A ที่เหมาะตรงกับงานที่รับผิดชอบ) องค์กรก็ควรจะต้องปรับเงินเดือน (และปรับค่าตอบแทนอื่น ๆ) เพิ่มให้เพื่อรักษาพนักงานที่มี “คุณค่า” หรือมี P+C คนนั้นเอาไว้ให้คงอยู่กับองค์กร (กล่องกลาง P+C)

 จะเห็นได้ว่า “ค่าคน” เป็นเรื่องของผลการปฏิบัติงานเป็นรายบุคคล (ปัจเจก) ล้วน ๆ ไม่ว่าจะใช้ระบบใด (Rating scale, MBO, BSC, OKR) ในการประเมินผลงาน

 2.      ค่างาน (Job Value-JV) ในภาพกล่องขวาสุดเกิดจากการประเมินค่างาน  โดยตำแหน่งที่มีค่างานสูง มีงานและความรับผิดชอบสูงกว่าจะถูกจัดอยู่ใน Job Grade ที่สูงกว่าตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบและมีค่างานที่ต่ำกว่า

 จากภาพจึงเห็นได้ว่า JV เป็นเรื่องของตำแหน่งงานที่อยู่ใน Job Grade ต่าง  ๆ ที่จะต้องมีกรอบการจ่าย (คือมี Min Midpoint Max) ตามค่าของงานที่ชัดเจนเพื่อใช้เป็นหลักอ้างอิงในการจ่ายเงินเดือนให้ให้กับตัวคนที่ครองตำแหน่งให้สามารถแข่งขันกับตลาดได้ และเพื่อให้ Com & Ben สามารถควบคุมระบบงบประมาณ Staff Cost ได้อย่างมีเกณฑ์อ้างอิง

 ส่วนค่าคนจะเป็นเรื่องของตัวบุคคลว่าจะมีความสามารถทำงานได้ตามเป้าหมายหรือไม่แค่ไหนเพื่อบริษัทจะได้จ่ายค่าตอบแทนให้เหมาะสมตามผลงานแต่ต้องอยู่ในกรอบการจ่ายตามค่างานที่จะต้องสามารถแข่งขันกับตลาดโดยไม่ให้เกิด Under pay หรือ Over pay มากเสียจนทำให้มีปัญหาตามมา

 3.      ในบรรทัดแถวล่างสุดผมสมมุติว่าเป็นตำแหน่ง “พนักงาน” ซึ่งตำแหน่งงานนี้จะมีความสำคัญของงานและความรับผิดชอบอยู่ในระดับที่ (1) หรือเรียกว่าอยู่ใน Job Grade (1) ตามค่างาน (Job Value) ที่ถูกคณะกรรมการประเมินค่างานของบริษัทประเมินเอาไว้ 

 เมื่อองค์กรแต่งตั้งให้พนักงานคนใดมาทำงานในตำแหน่งที่อยู่ใน Job Grade (1) ก็จะได้รับเงินเดือนอยู่ในกรอบที่กำหนดเอาไว้ตามโครงสร้างเงินเดือนนี้ 

 สมมุติว่าใน Job Grade (1) มีกรอบการจ่ายเงินเดือน 10,000-20,000 บาท ค่ากลาง=15,000 บาท คือต้องจ่ายเงินเดือนให้ตัวบุคคลที่ทำงานให้ไม่ต่ำกว่า Min แต่ไม่เกิน Max และต้องรู้ว่าตลาดแข่งขันจะจ่ายเงินเดือนอยู่ประมาณค่ากลาง + -

 4.      บรรทัดถัดขึ้นมาผมสมมุติว่าเป็นตำแหน่ง “หัวหน้าแผนก” ตำแหน่งงานนี้จะมีค่างาน (Job Value) คือมีความสำคัญของงานและความรับผิดชอบอยู่ในระดับที่ (2) ซึ่งคณะกรรมการประเมินค่างานได้พิจารณาแล้วเห็นว่าตำแหน่งหัวหน้าแผนกมีงานและความรับผิดชอบในค่างานสูงกว่าค่างานในตำแหน่งพนักงาน Job Grade (1) 

 ดังนั้นเมื่อทำโครงสร้างเงินเดือนใน Job Grade (2) โดยเปรียบเทียบกับตลาดแข่งขันแล้วจะมีกรอบการจ่ายสูงกว่า Job Grade (1) สมมุติว่ามีกรอบการจ่ายอยู่ที่ 15,000-30,000 บาท ค่ากลาง=22,500 บาท ซึ่งหลักการบริหารจัดการก็จะอยู่บนหลักเดียวกับข้อ 3

 5.      เมื่อดูสมการแถวล่างสุด (1) จะเห็นได้ว่าถ้าหากพนักงานยังคงทำงานเหมือนเดิม มีผลการปฏิบัติงานเหมือนเดิม มีความรู้/ทักษะ/คุณลักษณะภายในที่ใช้ในงานเท่าเดิมก็ย่อมจะได้รับเงินเดือนอยู่ในกรอบการจ่าย 10,000-20,000 บาท เพราะองค์กรจะพิจารณาว่า P+C ยังคงเท่าเดิม ดังนั้นคุณค่าในตัวพนักงาน (ค่าคน) ที่ทำงานคงอยู่ในค่างาน (Job Value) ปัจจุบันใน Job Grade (1)

 6.      แต่ถ้าพนักงานคนไหนที่มีผลการปฏิบัติงานดีกว่าเดิม (P เพิ่มขึ้น) หรือมีสมรรถนะความสามารถ (มี Competency หรือมี K-S-A) เพิ่มขึ้น จนสามารถเลื่อนขึ้นไปรับตำแหน่งงานที่มี “ค่างาน” (Job Value) และมีความรับผิดชอบสูงขึ้นใน Job Grade (2) ก็ย่อมจะทำให้พนักงานคนนั้นมี “คุณค่า” ในตัวคน (ค่าคน) เพิ่มสูงขึ้น 

 บริษัทจึงควรจะต้องได้รับการปรับเพิ่มเงินเดือนให้ขึ้นไปอยู่ในกรอบการจ่ายที่สูงขึ้นตามค่างานของ Job Grade (2) ตามไปด้วย ในกรณีนี้คือ 15,000-30,000 บาท

 7.      จากสมการดังกล่าวจะเห็นได้ว่า “ค่างาน” หรือ Job Value จึงเป็นเรื่องของความสำคัญของ “ตำแหน่งงาน” ที่องค์กรกำหนดไว้ก่อนหน้านี้จากการประเมินค่างานเป็นมาตรฐาน 

 ส่วน “ค่าของคน” (P+C) เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลว่าคนไหนจะมีผลการปฏิบัติงานหรือมีขีดความสามารถจะรับผิดชอบงานที่มีค่างานสูงขึ้นกว่าเดิมได้หรือไม่

 ถ้าคน ๆ ไหนมีค่าคนเพิ่มสูงขึ้น (พัฒนาตัวเองให้มี P+C เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา) ก็ย่อมจะมีโอกาสก้าวขึ้นไปรับผิดชอบงานที่มีค่างาน (Job Value) สูงขึ้น และก็จะทำให้ “ค่าตอบแทน” (Compensation) เพิ่มตามไปด้วยเพื่อรักษาคนที่มีฝีมือ (P+C) เอาไว้กับบริษัท

 8.      ในทางกลับกันถ้าพนักงานคนไหนไม่เพิ่ม “ค่าของคน” ในตัวเอง (ไม่เพิ่ม P+C) ก็ย่อมจะทำให้หัวหน้าหรือผู้บริหารไม่เห็นคุณค่าในตัวคนที่มากพอที่จะไว้วางใจให้ก้าวขึ้นไปรับผิดชอบในตำแหน่งที่มีค่างานที่สูงขึ้นได้ จึงไม่จำเป็นจะต้องปรับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนให้เพิ่มขึ้นและเมื่อถึงจุดสูงสุดของกรอบการจ่าย (Maxx) ก็จะทำให้คน ๆ นั้นเงินเดือนตัน 

 เพราะค่าของงานในตำแหน่งมีอยู่เพียงเท่านั้นเอง ถ้าบริษัทยังจ่ายให้ตัวบุคคลที่เป็น Poor Performer ไปเรื่อย ๆ ก็จะทำให้เกิด Over pay เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดและจะทำให้ Staff Cost บวมมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ตัวพนักงานไม่ได้มี P+C ที่เพิ่มขึ้น (ไม่มีคุณค่าในตัวคนเพิ่มขึ้นเหมาะสมกับค่าตอบแทนที่บริษัทจ่ายไป)

 9.      จึงเห็นได้ว่า P+C ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานมานาน หรือการเรียนจบคุณวุฒิที่สูงขึ้นแต่อย่างใด แต่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าพนักงานคนไหนจะสามารถพัฒนาตัวเองเพื่อสร้างผลงานและเพิ่มศักยภาพเพิ่มขีดความสามารถในตัวเองจนมีค่า (ในตัว) คนจนเป็นที่ยอมรับขององค์กรได้มากแค่ไหนต่างหาก

 10.   ดังนั้นจึงอธิบายสมการที่ผมเขียนเอาไว้คือ ค่าตอบแทน    =   P+C   ได้ว่าถ้าคน ๆ ไหนไม่พัฒนาตัวเองให้ผลงาน (P) ดีขึ้นกว่าเดิม หรือมีขีดความสามารถ (C) เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมก็จะต้องได้รับค่าตอบแทน (หรือเงินเดือน) เท่าเดิม เพราะตัวแปรด้านขวาของสมการคงเดิม 

 แต่ถ้าใครสามารถเพิ่ม P หรือเพิ่ม C ให้มากขึ้นก็จะมีผลทำให้ค่าตอบแทน (หรือเงินเดือน) เพิ่มขึ้นตามไปด้วยเสมอ และ P+C ที่เพิ่มขึ้นก็จะทำให้คน ๆ นั้นมีค่าคนมีความพร้อมที่จะรับผิดชอบงานที่มีค่างาน (Job Value) ในตำแหน่งสูงขึ้นกว่าเดิมก็จะทำให้ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมในที่สุด

 จากที่ผมอธิบายมาทั้งหมดก็เชื่อว่าจะทำให้ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ได้เข้าใจเหตุผลความสัมพันธ์ของสมการดังกล่าวและเห็นความสำคัญในการพัฒนาตัวเองเพื่อเพิ่มคุณค่าในตัวเองให้พร้อมที่จะรับผิดชอบค่างานในตำแหน่งที่สูงขึ้นเพื่อจะได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นได้แล้วนะครับ