วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2568

Normal Curve มีไว้ทำไม?

             ถ้าจะมีคนถามผมว่า “Normal Curve” มีไว้ทำไม?

            ผมก็จะตอบว่า “ใช้เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปี หรือจ่ายโบนัสตามผลงาน” ครับ

            หลักการของ Normal Curve ไม่ใช่การหวงเกรดนะครับ ต้องบอกเสียก่อนตรงนี้ เพราะถ้าใครไม่เคยต้องรับผิดชอบงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีนี่จะไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้

            เช่น บริษัทที่ยังให้ MD เป็นคนขึ้นเงินเดือนคนทั้งบริษัท ก็จะให้ Line Manager แต่ละหน่วยงานมีหน้าที่แค่เพียงประเมินผลการปฏิบัติงานของลูกน้อง แล้วก็ส่งผลประเมินทั้งหมดมาให้ MD “หยอด” เปอร์เซ็นต์หรือเม็ดเงินให้กับพนักงานตามเกรดที่หัวหน้าประเมิน โดยที่ Line Manager ไม่เคยจะต้องมายุ่งเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีนี่จะเกิดปัญหาคับข้องใจกับเจ้า Normal Curve กันเยอะเลยครับ

          ยกตัวอย่างคือถ้าฝ่ายบริหารอนุมัติลงมาว่าปีนี้ให้งบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีมา 5% นั่นก็หมายความว่าถ้าสมมุติว่าทั้งบริษัทมี Total Payroll อยู่ 10 ล้านบาท ปีนี้บริษัทจะต้องคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนไม่ให้เกิน 500,000 บาท

            นั่นแปลว่าคนที่มีผลงานในเกณฑ์เฉลี่ยมาตรฐานทั่วไปก็จะได้รับการขึ้นเงินเดือน 5% แต่ถ้าใครมีผลงานดีกว่าเกณฑ์เฉลี่ยก็อาจจะได้ 8% หรือดีเยี่ยมมาก ๆ ก็อาจจะได้ 10% 

            เท่า ๆ กับคนที่มีผลงานแย่กว่าเกณฑ์เฉลี่ยก็อาจจะได้ขึ้นเงินเดือน 2-3% และคนที่ไม่มีผลงานอะไรเลยก็อาจจะไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน!

            จากแนวคิดนี้ก็จะนำมาสู่การกระจายของ Normal Curve เพื่อควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนตามผลการประเมิน เช่น....

            A=10%   B=8%   C=5%   D=3%   E=0%

          แล้วลองคิดดูสิครับว่า..ถ้า Line Manager ไม่ต้องรับผิดชอบการควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีจะเกิดอะไรขึ้น?

          ก็ประเมินลูกน้องให้ได้เกรด A หรือ B ซะเป็นส่วนใหญ่แล้วก็ส่งผลประเมินมาให้ HR 

            แน่นอนว่าพอ HR เห็นผลประเมินอย่างนี้มันเกินงบฯ ก็จะต้องส่งผลกลับไปให้ Line Manager ตัดเกรดใหม่โดยพูดถึง Normal Curve ว่าจะต้องให้คนส่วนใหญ่มีผลประเมินอยู่ในค่าเฉลี่ยคือ C และต้องมีส่วนน้อยที่ถูกประเมินในเกรด A หรือ B คือคนที่มีผลงานดีกว่าเกณฑ์เฉลี่ย (Outstanding) และก็อาจจะมีพนักงานส่วนน้อยที่ถูกประเมินในเกรด D หรือ E คือคนที่มีผลงานต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย (Poor Performer)

            แล้วถ้า Line Manager ไปบอกกับลูกน้องว่า “พี่ประเมินน้อง ๆ ของพี่ให้ได้ A หมดทุกคนแหละเพราะน้องพี่เก่งยอดเยี่ยมทุกคน แต่ HR เขาไม่ยอมเขาบอกพี่ว่าเกินงบให้พี่ตัดเกรดน้อง ๆ ลงเป็น C เป็นส่วนใหญ่นะ พี่ก็ต้องทำตามที่ HR บอกนะ ไม่รู้มันจะหวงเกรดอะไรกันนักหนา มีปัญหาอะไรก็ไปถาม HR เองก็แล้วกัน”

            นี่คือปัญหาสำหรับองค์กรที่ยังไม่จัดสรรงบประมาณขึ้นเงินเดือนไปให้ Line Manager บริหารจัดการ แล้วยังคงให้ HR เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมงบประมาณแบบนี้อยู่ก็คงจะต้องเจอปัญหาดราม่าแบบนี้ไปเรื่อย ๆ และ HR ก็จะถูกด่าเรื่องหวงเกรดอยู่ทุกปี

            เพราะ Line Manager ไม่ต้องรับผิดชอบในการควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนนี่ครับถึงได้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น

            จึงควรจะต้องจัดสรรงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีไปให้แต่ละหน่วยงานรับผิดชอบและทำหน้าที่ทั้งประเมินผลการปฏิบัติงานพนักงานของตัวเอง แล้ว Line Manager ต้องก็เป็นคนใส่เงินเดือนให้กับลูกน้องของตัวให้สอดคล้องกับผลการปฏิบัติงานของลูกน้อง

          และที่สำคัญคือต้องไม่เกินงบประมาณที่ให้ไป

          หัวหน้าจึงควรจะต้องมีส่วนร่วมในการควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนของบริษัทและให้คุณให้โทษลูกน้องของตัวเอง ไม่ใช่ยกหน้าที่นี้ไปให้ HR หรือ MD เป็นคนไปตัดสินใจแทนหัวหน้า เพราะ HR หรือ MD ไม่มีทางไปรู้รายละเอียดการทำงานของพนักงานดีกว่าหัวหน้าโดยตรงหรอกครับ

        ยกตัวอย่างเช่น ฝ่ายผลิตมีเงินเดือนของพนักงานในฝ่ายผลิตรวม 500,000 บาท ถ้าบริษัทบอกว่างบประมาณขึ้นเงินเดือนปีนี้ของบริษัทคือ 5% ฝ่ายผลิตก็จะต้องไปประเมินผลการทำงานของพนักงานในฝ่ายผลิตแล้วหยอดเงินเดือนให้พนักงานในฝ่ายของตัวเองให้สัมพันธ์กับผลการประเมินแต่ต้องไม่เกินงบประมาณที่บริษัทจัดสรรไปให้คือ 25,000 บาท

       ถ้าจะว่าไปแล้ว การจัดสรรงบประมาณประจำปีให้กับหัวหน้าแต่ละหน่วยงานพิจารณาให้คุณให้โทษลูกน้องของตัวเอง ก็เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์แหละครับ

      เพราะหลักเศรษฐศาสตร์จะบอกว่าทรัพยากรที่มีอยู่ในโลกนี้ล้วนมีอยู่อย่างจำกัด (งบประมาณขึ้นเงินเดือนก็เช่นกัน) จึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่คงไม่สามารถทำให้คนทุกคนพึงพอใจมากที่สุดได้หรอก

      จึงมาถึงคำตอบสำหรับคำถามหัวเรื่องข้างต้นได้ว่า….

      Normal Curve มีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งในระบบรางวัล (Reward) เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานตามผลงาน เพื่อให้การบริหารจัดการงบประมาณ (ขึ้นเงินเดือนและจ่ายโบนัส) ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดครับ

                                  .............................

วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2568

การสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรมคือยังไงสำคัญยังไง?

             ถ้าจะถามว่าทำไมต้องมีการสัมภาษณ์ในขั้นสุดท้ายก่อนการตัดสินใจรับหรือไม่รับผู้สมัครงานรายนั้น  เข้าทำงาน ก็คงจะตอบตามหลักจิตวิทยาง่าย  ได้ว่าก็เพื่อดูตัวและพูดจากันให้แน่ใจอีกสักครั้ง

            ซึ่งการสัมภาษณ์นี้เป็นการเจอกันแบบตัวเป็น  หรือ Face to Face ระหว่างว่าที่ผู้บังคับบัญชาในอนาคกับผู้สมัครงาน

         หลายครั้งมักจะพบว่าผู้สัมภาษณ์ก็ไม่ได้เตรียมบทหรือคำถามใด  มาก่อนการสัมภาษณ์เลย ผมก็เลยเรียกว่าใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบจิตสัมผัส (ที่เรียกว่าUnstructured Interview นั่นแหละครับ

           และมักจะถามคำถามแบบยกเคสหรือสมมุติเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา แล้วก็ถามเพื่ออยากรู้ความคิดเห็นของผู้สมัครต่อกรณีนั้น ๆ ที่เรีกว่า Situation Interview)เช่น 

            “ถ้าคุณได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้างานแล้วลูกน้องของคุณกระด้างกระเดื่อง..คุณจะทำยังไง

            คุ้น  กับคำถามทำนองนี้ไหมครับ?

            คำถามที่เป็น If clause ที่ขึ้นต้นว่า “ถ้า….คุณจะ….”

             แล้วผู้สมัครก็จะตอบไปตามความคิดเห็นของตัวเองทั้ง ๆ ที่อาจจะไม่เคยอยู่ในสถานการณ์นั้นจริง ๆ หรอก แต่อาศัยว่าเป็นคนพูดเก่งพูดคล่องก็เลยฝอยเป็นคุ้งเป็นแควจนทำให้ผู้สัมภาษณ์ฟังแล้วเคลิ้มคิดว่าเก่งจริงก็เลยตัดสินใจรับเข้ามาทำงาน

            แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะเจอเอาคนพูดเก่ง ฝอยเก่ง Presentation ดี แต่ขาดประสบการณ์ทำงานจริงก็เลยทำงานไม่ได้ตามที่คาดหวัง ไม่ผ่านโปร แล้วก็ต้องกลับมานับหนึ่งหาคนใหม่กันอีก

             การสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Event Interview-BEI) ก็เลยเป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่เข้ามาช่วยให้ผู้สัมภาษณ์คัดกรองผู้สมัครงานให้ดีขึ้นได้

            อันที่จริงแล้วการสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรม หรือ BEI นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ 

          ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้คงสงสัยหรืออยากจะรู้แล้วใช่ไหมครับว่าแล้วเจ้าวิธีการสัมภาษณ์งานเชิงพฤติกรรมเป็นยังไง

            ก็ตอบได้ว่าหลักหรือหัวใจของการสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรมก็คือ การตั้งคำถามโดยให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ได้เล่าถึงประสบการณ์ หรือพฤติกรรมที่ผ่านมาในอดีตในเรื่องนั้น  (ที่ผู้สัมภาษณ์ได้ตัวหัวข้อไว้แล้วให้ผู้สัมภาษณ์ฟัง ยังไงล่ะครับ

            อธิบายด้วยตัวอย่างดีกว่านะครับ เช่น

            ถ้าเราตั้งหัวข้อเรื่องของ ความคิดสร้างสรรค์ โดยอยากจะทราบว่าผู้สมัครงานในตำแหน่งงานนี้จะมีความคิดสร้างสรรค์เป็นยังไง 

            ถ้าเป็นวิธีการตั้งคำถามแบบทั่ว  ไปก็คงจะถามแบบ If clause ว่า “ถ้าคุณได้เข้าทำงานกับบริษัทเราแล้ว คุณจะใช้ความคิดสร้างสรรค์ของคุณทำอะไรให้กับเราได้บ้าง...” หรือ “คุณจะมีวิธีกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ในทีมงานของคุณได้อย่างไร....”

            เป็นยังไงบ้างครับกับคำถามทำนองนี้ แล้วถามว่าท่านจะได้คำตอบจากผู้สมัครงานอย่างไรล่ะครับ ?

            ผู้สมัครงานที่พูดเก่ง Present เก่ง หรือเก่งทฤษฎีก็จะฝอยกันเป็นคุ้งเป็นแควดูน่าเชื่อถือ คราวนี้ก็อยู่ที่ว่าผู้สมัครงานคนไหนจะฝอยได้เก่งกว่ากัน กรรมการสัมภาษณ์ก็มีแนวโน้มจะเชื่อผู้สมัครรายที่พูดเก่งพูดคล่องเสียด้วยสิ

          แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไงล่ะครับว่าคนที่พูดเก่งจะทำงานได้จริงเหมือนที่พูดไว้?

            คำตอบก็คือก็ต้องดูว่าเขาเคยมีประสบการณ์ทำเรื่องนั้น ๆ มาบ้างหรือเปล่าล่ะครับ

            เพราะคนที่เก่งทฤษฎีพูดเก่งอาจจะไม่เก่งปฏิบัติก็ได้ เข้าทำนอง “ท่าดี..ทีเหลว” เพราะไม่เคยปฏิบัติจริงไงครับ

            จะรู้ว่าเขาจะทำได้จริงไหมก็ต้องถามประสบการณ์ในอดีตว่าเคยทำมาหรือมีประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ มาจริงหรือเปล่า

            คำถามเชิงพฤติกรรมจึงจะเข้ามาช่วยยืนยันความมั่นใจให้กับผู้สัมภาษณ์ เช่น 

            ลองเล่าให้ฟังสิว่า คุณเคยทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นผลงานของตัวคุณเองจนประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างบ้าง

            ท่านสังเกตได้นะครับว่านี่คือการถามคำถามโดยให้ผู้ตอบได้เล่าถึงประสบการณ์หรือพฤติกรรมที่เกี่ยวกับหัวข้อ “ความคิดสร้างสรรค์” ที่เคยทำมาในอดีต 

          ถ้าหากผู้สมัครงานไม่เคยทำมาก่อนจะเอาอะไรมาฝอยได้ล่ะครับ

            แต่หากผู้สมัครงานบางรายที่มีไหวพริบอาจจะตอบแบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือพูดไม่จริงหรือสร้างเรื่องขึ้นแล้วจะทำยังไง –ท่านอาจจะถามผมอย่างนี้

            ก็ตอบได้ว่าการสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรมก็ไม่ได้สอนให้เชื่อผู้ตอบในคำถามแรกคำถามเดียวนะครับ!

             แต่จะมีกระบวนการถามแบบ Cross check ด้วยรูปแบบ S T A R Model

              S=Situation เป็นคำถามเปิดประเด็นยกเรื่องราวหรือประสบการณ์ในอดีตของผู้สมัครให้สอดคล้องกับหัวข้อที่เราเตรียมไว้

            T=Task งานที่ผู้สมัครเคยทำหรือเคยมีประสบการณ์คืออะไร

              A=Action คือ ผู้สมัครเคยทำเรื่องนั้น  มากน้อยแค่ไหนมีปัญหาอย่างไรบ้างบทบาทหน้าที่ของผู้สมัครในเรื่องนั้น  เป็นอย่างไรงานที่รับผิดชอบเป็นอย่างไร ฯลฯ

              C=Conclusion ว่าผู้สมัครได้ข้อคิดหรือได้เรียนรู้หรือได้รับผลจากประสบการณ์ครั้งนั้นอย่างไรบ้าง

            ดังนั้น เทคนิคการสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรมจึงจำเป็นที่ต้องมีการฝึกฝนสำหรับผู้ทำหน้าที่ผู้สัมภาษณ์เสียก่อนไม่ใช่ว่าอยู่ดี  จะนำไปใช้ได้เลย ถ้าผู้สัมภาษณ์ได้รับการฝึกฝนมีทักษะหรือความเข้าใจดีแล้ววิธีการสัมภาษณ์แบบ BEI จะช่วยให้สามารถคัดเลือกผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งงานได้ดีขึ้นกว่าการสัมภาษณ์แบบ If clause เพียงอย่างเดียว

         และสุดท้ายอย่าลืมว่าไม่ควรใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบจิตสัมผัส (Unstructured Interview) นะครับ การเตรียมพร้อมเตรียมคำถามไว้ล่วงหน้า การกำหนดเป้าหมายและเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจนแบบ Structured Interview ยังต้องเป็นแกนหลักในการสัมภาษณ์อยู่เสมอนะครับ

                                                 ...............................