วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

นายจ้างไม่คืนเงินค้ำประกันได้หรือไม่


            ตามพรบ.คุ้มครองแรงงานฉบับที่ 2 พศ.2551 ได้พูดถึงเรื่องของเงินค้ำประกันการทำงานเอาไว้อย่างนี้ครับ

“มาตรา 10 ภายใต้บังคับมาตรา 51 วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สินอื่น หรือ การค้ำประกันด้วยบุคคลจากลูกจ้าง เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพการทำงานนั้นลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้ ทั้งนี้ลักษณะหรือสภาพของงานที่เรียกหรือรับหลักประกันจากลูกจ้าง ตลอดจนประเภทของหลักประกัน จำนวนมูลค่าของหลักประกัน และวิธีการเก็บรักษาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด”

            อธิบายแบบง่าย ๆ ก็คือโดยเจตนารมณ์ของกฎหมายแรงงานฉบับนี้ไม่อยากจะให้นายจ้างเรียกรับเงิน (รวมถึงหลักประกัน) เพื่อค้ำประกันความเสียหาย หรือหาคนมาค้ำประกันความเสียหายจากลูกจ้าง แต่ก็มีข้อยกเว้นไว้ว่าถ้าลักษณะหรือสภาพการทำงานนั้นลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวข้องกับเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้างที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้ เช่น ลูกจ้างมีหน้าที่เป็นพนักงานแคชเชียร์, พนักงานขายเพชรขายทอง, พนักงานเก็บเงินสดจากลูกค้า, พนักงานเร่งรัดติดตามหนี้สิน เป็นต้น

ซึ่งหากเป็นงานลักษณะดังกล่าวนายจ้างก็อาจจะให้พนักงานหาเงินมาค้ำประกันความเสียหายได้ แต่ก็มีข้อกำหนดไว้อีกว่าวงเงินค้ำประกันความเสียหายนั้นต้องไม่เกิน 60 เท่าของค่าจ้างเฉลี่ยรายวัน เช่น ถ้าลูกจ้างมีค่าจ้างเฉลี่ยรายวัน 400 บาท นายจ้างก็เรียกเงินค้ำประกันได้ไม่เกิน 400x60=24,000 บาท

โดยนายจ้างจะต้องนำเงินค้ำประกันดังกล่าวไปเปิดบัญชีฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงิน โดยจัดให้มีบัญชีเงินฝากของลูกจ้างแต่ละคน และแจ้งชื่อธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงิน ชื่อบัญชี เลขบัญชีให้ลูกจ้างทราบภายใน 7 วัน  นับแต่วันที่รับเงินค้ำประกันและนายจ้างต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว

หากลูกจ้างไม่ได้ทำอะไรให้ทรัพย์สินของนายจ้างเสียหาย เมื่อลูกจ้างลาออกหรือพ้นสภาพจากการเป็นลูกจ้าง นายจ้างจะต้องคืนเงินค้ำประกันพร้อมดอกเบี้ยให้กับลูกจ้างด้วย

            ปัญหาของเรื่องที่เราจะคุยกันในวันนี้ก็คือ มีบางบริษัทที่เรียกรับเงินค้ำประกันความเสียหายในการทำงานสำหรับตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินของบริษัท และมีกฎระเบียบของบริษัททำนองนี้

1.      บริษัทมีข้อบังคับว่าพนักงานที่ประสงค์จะลาออกจะต้องยื่นใบลาออกล่วงหน้าอย่างน้อย 15 วัน และอยู่ทำงานจนครบ หากพนักงานไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้ถือว่าพนักงานไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของบริษัท บริษัทมีสิทธิไม่คืนเงินค้ำประกันทั้งหมดและพนักงานสละสิทธิในการเรียกร้องเงินรับประกันดังกล่าวเพราะปฏิบัติตนไม่ถูกต้องตามระเบียบของบริษัท

2.      บริษัทมีข้อตกลงในสัญญาจ้างไว้ว่า ในกรณีที่พนักงานลาออกจากบริษัทก่อน 24 เดือน พนักงานขอสละสิทธิไม่รับเงินค้ำประกันการทำงานคืน

ถามว่าถ้าหากพนักงานทำผิดกฎระเบียบของบริษัทใน 2 กรณีข้างต้น บริษัทจะมีสิทธิยึดเงินค้ำประกันความเสียหายในการทำงานได้หรือไม่ ?

คำถามทำนองนี้มีมาบ่อยเลยนะครับ ซึ่งคนที่ไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ก็อาจจะคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ว่าบริษัท “น่าจะ” ยึดเงินค้ำประกันได้เพราะพนักงานไม่ทำตามกฎระเบียบ บ้างก็ว่าบริษัท “น่าจะ” ทำอย่างนี้ไม่ได้ ฯลฯ ก็ว่ากันไปตามความเข้าใจ (ถูกบ้างผิดบ้าง)  ของแต่ละคน

            ผมก็เลยขอนำหลักการของกฎหมายแรงงานมาทำความเข้าใจกับท่านดังนี้ครับว่า....

          กฎ ระเบียบใด ๆ ของบริษัทที่ประกาศใช้ในบริษัทนั้น หากไม่ขัดต่อกฎหมายแรงงานแล้วกฎระเบียบนั้น ๆ ก็ยังใช้ได้ แต่ถ้ากฎ ระเบียบ คำสั่ง ใด ๆ ของบริษัทที่ประกาศออกมาแล้วขัดต่อกฎหมายแรงงานแล้วล่ะก็ เมื่อเป็นคดีไปถึงศาลแรงงานก็มีโอกาสที่กฎ ระเบียบ คำสั่งเหล่านั้นจะเป็นโมฆะ เพราะมันผิดกฎหมายแรงงานน่ะสิครับ !

            เมื่อผมบอกมาอย่างนี้แล้ว ท่านลองกลับไปอ่านปัญหา 2 ข้อข้างต้นใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้วลองตอบตัวเองดูสิครับว่า หากบริษัททำตามที่ประกาศไว้แล้วจะผิดกฎหมายแรงงานหรือไม่ ?

          ถูกต้องแล้วคร๊าบบบ....ทั้ง 2 ข้อฝ่าฝืนกฎหมายแรงงาน บริษัทไม่สามารถจะยึดเงินค้ำประกันพนักงานได้น่ะสิครับ เพราะพนักงานไม่ได้ทำอะไรให้ทรัพย์สินของบริษัทเสียหายสักหน่อย

            ลองมาดูคำพิพากษาศาลฎีกาเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันดังนี้อีกสักครั้งดังนี้นะครับ

ฎ.8029/2544 “....ลูกจ้างเข้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานรักษาความปลอดภัย นายจ้างมีระเบียบข้อบังคับการทำงานกำหนดให้ลูกจ้างที่ประสงค์จะขอลาออกจะต้องยื่นใบลาออกล่วงหน้า 15 วัน  และอยู่ทำงานจนครบ....หากลูกจ้างลาออกไม่ถูกต้องตามระเบียบลูกจ้างไม่ขอรับเงินประกันคืนทั้งหมด...ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า....นายจ้างต้องคืนเงินประกันการทำงานภายใน 7 วันนับแต่ลูกจ้างลาออก ข้อตกลงไม่คืนเงินประกันกรณีลาออกไม่ถูกต้องตามระเบียบขัดต่อบทบัญญัติตามมาตรา 10 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่มีผลใช้บังคับ เมื่อลูกจ้างไม่ได้ก่อความเสียหายในระหว่างการทำงาน นายจ้างต้องคืนเงินประกันให้แก่ลูกจ้าง

ฎ.8211/2547 “....นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยมีข้อตกลงว่า หากลูกจ้างลาออกจากงานก่อน 24 เดือน ลูกจ้างขอสละสิทธิไม่รับเงินประกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าพรบ.คุ้มครองแรงงานมาตรา 10 วรรคสอง บัญญัติว่าในกรณีที่นายจ้างเรียกหรือรับเงินประกัน หรือทำสัญญาประกันกับลูกจ้างเพื่อชดใช้ความเสียหายที่ลูกจ้างเป็นผู้กระทำ เมื่อนายจ้างเลิกจ้าง หรือลูกจ้างลาออกหรือสัญญาประกันสิ้นอายุ ให้นายจ้างคืนเงินประกันพร้อมดอกเบี้ย (ถ้ามี) ให้แก่ลูกจ้างภายใน 7 วัน นับแต่วันที่นายจ้างเลิกจ้างหรือลูกจ้างลาออก หรือวันที่สัญญาประกันสิ้นอายุแล้วแต่กรณี ข้อตกลงไม่คืนหลักประกันแตกต่างไปจากบทบัญญัติพรบ.คุ้มครองแรงงาน ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงตกเป็นโมฆะ

            เมื่ออ่านแนวคำพิพากษาทั้ง 2 กรณีข้างต้นแล้ว ผมเชื่อว่าทั้งบริษัทและพนักงานจะมีความเข้าใจในหลักของกฎหมายแรงงานที่ตรงกันซะทีนะครับ

 

………………………………….