วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2567

Chauffeur Knowledge ทำให้ดูเหมือนเก่ง แต่ที่จริงก็คือกลวง

             เรื่องนี้ผมว่าคนที่เคยเป็นผู้สัมภาษณ์จะต้องเคยเจอผู้สมัครงานที่เวลาตอบคำถามต่าง ๆ จะดูคล่องแคล่วมีประสบการณ์ตรงในงานนั้นมาหลายปี แสดงภูมิรู้ดูว่าเชี่ยวชาญชำนาญงานในตำแหน่งที่สมัครเป็นอย่างดี แถมเคยทำงานในองค์กรใหญ่โตน่าเชื่อถือ ก็เลยรับเข้ามาทำงาน

            แต่พอรับเข้ามาแล้วกลับกลายเป็นหนังคนละม้วนซะงั้น

            หรือเมื่อเราคุยกับใครก็ตามในเรื่องใด คน ๆ นั้นก็จะ Present ตัวเองว่าเก่งรอบรู้เชี่ยวชาญชำนาญเรื่องนั้น ๆ จนดูน่าเชื่อถือ แต่พอทำงานด้วยกันไปสักระยะหนึ่งก็จะเริ่มเห็นว่าผลงานที่เห็นไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ตอนแรก

          นี่แหละครับคือเรากำลังเจอคนที่มีความรู้แบบโชเฟ่อร์ หรือ Chauffeur Knowledge เข้าให้แล้ว

            ที่มาของคำ ๆ นี้คือเมื่อปีค.ศ.1918 (พ.ศ.2461) มีนักฟิสิกส์ชาวเยอรมันรางวัลโนเบลชื่อ Max Planck ได้รับเชิญไปบรรยายเกี่ยวกับเรื่อง Quantum Mechanics

            แต่เนื่องจากแกบรรยายเรื่องเหล่านี้มาหลายแห่งซึ่งคนที่เป็นครูบาอาจารย์ก็จะรู้ดีว่าเรื่องที่ตัวเองสอนจะเป็นเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ สำหรับตัวเอง แต่ก็จะเป็นเรื่องใหม่สำหรับกลุ่มผู้ฟัง (คนเรียน) อยู่เสมอ ซึ่งอาจารย์ Planck ก็คงจะเหมือนกับอาจารย์อีกไม่น้อยที่อาจจะเบื่อที่ต้องพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำซาก

            แต่..ทุกครั้งที่แกไปบรรยายแกก็จะมีคนขับรถตามไปนั่งฟังหลังห้องทุกครั้ง ซึ่งคนขับรถของแกก็จดจำเนื้อหาการบรรยายได้ทั้งหมด รวมไปถึงลีลาท่าทางระหว่างการสอนได้แทบทุกซ็อตเพราะดูการสอนกันมาเป็นปี ๆ

            คนขับรถก็เลยขออาสาว่าจะขึ้นไปพูดหัวข้อนี้แทนอาจารย์ Planck ซึ่งอาจารย์ก็ตกลงเพราะอยากจะดูผลลัพธ์ว่าจะเป็นยังไง ซึ่งอย่าลืมนะครับว่าในปีพ.ศ.2461 สื่อโซเชียลยังไม่มี การเผยแพร่หน้าตาของบุคคลก็ยังไม่แพร่หลายเหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นคนขับรถก็ปลอมแปลงเป็นนักฟิสิกส์รางวัลโนเบลได้แบบสบาย ๆ

            ท่านคงเดาเรื่องนี้ได้ถูกใช่ไหมครับว่าผลลัพธ์การบรรยายเป็นยังไง ?

            ใช่แล้วครับ ผู้ฟังชื่นชอบมากแถมเรตติ้งการบรรยายว่าเนื้อหาดีมาก พูดได้เข้าใจ น่าสนใจ และยังบอกว่าวิทยากรเป็นคนให้เกียรติคนทุกชนชั้นอีกต่างหาก

            เพราะในตอนท้ายที่วิทยากร (ปลอม) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนถามคำถามที่ยาก ๆ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ตอบไม่ได้ ก็ตอบผู้เรียนไปว่า “คำถามนี้มีคำตอบแบบง่าย ๆ ที่แม้แต่โชเฟอร์ของผมก็ไขปัญหานี้ได้ ผมขอให้โชเฟอร์ของผมเป็นผู้ตอบนะครับ”

            แล้ววิทยากร (ปลอม) ก็ให้ศาสตราจารย์ตัวจริง (ที่สวมบทโชเฟอร์หลังห้อง) เป็นผู้ตอบแบบเนียน ๆ

            เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้

1.      ระวังอคติแบบ HALO Effect (https://tamrongsakk.blogspot.com/2021/08/7-halo-effect.html) ไม่ควรด่วนรีบสรุปจนเกินไป แต่ควรใช้หลักกาลามสูตรคืออย่าเชื่อสิ่งใดง่ายจนเกินไป มีสติ หาข้อมูลเกี่ยวกับคน ๆ นั้นให้ดีว่ามีพื้นเพที่มายังไง มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ มาจริงหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน หรือแค่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนั้นแบบครูพักลักจำผิวเผินแต่เอามาคุยฟุ้งสร้าง Profile ให้ดูน่าเชื่อถือ

2.      คนที่รู้ลึกรู้จริงจะมีแนวโน้มที่จะยอมรับความไม่รู้ของตัวเอง คือไม่ได้พยายามตะแบงสร้างความน่าเชื่อถือว่าตัวเองรู้ไปเสียทุกเรื่อง อะไรที่ตัวเองไม่รู้หรือไม่เคยทำก็จะบอกตรงไปตรงมาว่าไม่รู้หรือไม่เคยทำ แต่คนที่ไม่รู้จริงมักจะบอกว่าตัวเองรู้ทุกเรื่อง

3.      ถ้าไม่มีอคติครอบงำมากจนเกินไปและสังเกตให้ดีจะพบว่าคนที่รู้แบบท่องจำจากตำรากับคนที่รู้มาจากประสบการณ์ทำงานตรงมีความแตกต่างกัน

เชื่อว่าเรื่องนี้จะช่วยทำให้ท่านเท่าทันคนประเภท Chauffeur Knowledge มากขึ้นแล้วนะครับ