วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2567

การรับคนเข้าทำงานอย่ามองข้ามทัศนคติและอีคิว

            ถ้าจะถามว่าปัญหาของคนทำงานทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าหรือลูกน้องคือเรื่องใด?

คำตอบจากฝั่งลูกน้องมักจะเป็น....

หัวหน้าไม่ยอมรับฟัง, มีวาจาเป็นอาวุธมีดาวพุธเป็นวินาศ, จุดเดือดต่ำฟิวส์ขาดง่าย, อารมณ์ร้ายชอบโวยวายเสียงดัง, พูดอย่างทำอย่าง ทุกเรื่องเป็นเรื่องยากไปหมด, คิดว่าลูกน้องไม่ได้เรื่องสักคน ฯลฯ

คำตอบจากฝั่งหัวหน้ามักเป็น....

ลูกน้องมีพฤติกรรมกระด้างกระเดื่อง, เวลาสั่งงานชอบชักสีหน้า, ไม่รับผิดชอบงาน, เกเร, อู้งาน, ไม่อยู่คุมงานก็จะผิดพลาดเสมอ ๆ, ชอบจับกลุ่มนินทาว่าร้ายบริษัท ฯลฯ

สังเกตไหมครับว่าปัญหาหลักของทั้งหัวหน้าหรือลูกน้องมักจะเป็นปัญหาทัศนคติหรืออีคิวมากกว่าปัญหาการขาดความรู้ทักษะในการทำงาน

ถ้าขาดความรู้ทักษะในการทำงาน ใช้เวลาไม่นานนักก็น่าจะพัฒนาให้เก่งได้

แต่ถ้าขาดทัศนคติหรืออีคิวที่เหมาะสมในการทำงานล่ะ จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการพัฒนาให้ดีขึ้น?

เรามักไม่ค่อยมีปัญหาจากหัวหน้าหรือลูกน้องในทำนองที่ว่าไม่รู้งาน ไม่มีความสามารถในการทำงาน 

เพราะถ้าใครยังขาดความรู้ขาดทักษะในการลงมือทำงานเรายังสามารถส่งไปฝึกอบรม, สอนงาน, OJT หรือหาวิธีการพัฒนาทั้งหัวหน้าและลูกน้องที่ยังขาดความรู้ทักษะในงานได้

ใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถพัฒนาได้

แต่ถ้าหัวหน้าหรือลูกน้องมีปัญหาเรื่องของทัศนคติหรืออีคิวล่ะเราจะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ยังไง จะใช้เวลานานแค่ไหนเมื่อเทียบกับการแก้ปัญหาเรื่องขาดความรู้ทักษะในงาน

คงไม่ตอบว่าส่งคนที่มีปัญหาทัศนคติเหล่านี้ไปเข้าอบรมหลักสูตรประเภทการสร้างทัศนคติที่เป็นเลิศ หรือหลักสูตรอีคิวหรือสารพัดคิวนะครับ

เพราะหลักสูตรฝึกอบรมไม่ใช่บ่อชุบตัวสังข์ทองที่จะเปลี่ยนทัศนคติหรืออีคิวของคนมีปัญหาได้แบบพลิกฝ่ามือ!

การคัดเลือกคนเข้าทำงานจึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องทัศนคติและอีคิวของของผู้สมัครเป็นหลัก ส่วนความรู้และทักษะในงานเป็นเรื่องถัดมา

การเตรียมคำถาม (Structured Interview) เกี่ยวกับทัศคติและอีคิวประกอบกับการสังเกตภาษากายและการโต้ตอบของผู้สมัครให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจรับเข้ามาทำงานจะเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งในการคัดเลือกคนที่ “ใช่” 

ดีกว่าการถามแบบจิตสัมผัส (Unstructured Interview) โดยไม่เตรียมอะไรเลยครับ

                                ……………………