วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568

สแกมเมอร์ที่ผมเคยเจอในวัยเด็ก

             เห็นข่าวพวกต้มตุ๋นหลอกลวงทางโทรศัพท์ทางออนไลน์ที่ตอนนี้เรียกทับศัพท์ว่าพวกสแกมเมอร์ซึ่งในช่วงพีค ๆ นี่ผมเจอเจอพวกนี้อย่างน้อยวันละครั้ง บางวัน 3 ครั้งต่อวัน

            แต่ก็ไม่เคยเป็นเหยื่อพวกนี้สักที แรก ๆ ก็ด่ามันกลับไป แต่หลัง ๆ ก็พบว่าด่าไปเราก็เหมือนกำลังสีซอให้ตัวอะไรสักตัวหนึ่งฟัง

แถมมันยังฟังไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก

            ก็เลยเลิกด่า แค่ตัดสายแล้วบล็อคเบอร์ส่งเข้า Whoscall ให้รู้ว่าเบอร์นี้เป็นพวกมิจ

            แล้วก็มาคิดว่าเราเคยเจอพวกหลอกลวงแบบนี้มาตั้งแต่เรายังเป็นเด็กน้อยเลยนี่นา

          ฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมเจอพวกสแกมเมอร์ยุคเก่ามาตั้งแต่สมัยผมยังเป็นเด็กประถมจริง ๆ

            ผมเรียนอนุบาล 2 ปีและประถมอีก 7 ปีที่โรงเรียนอนุบาลปฐมวัยอยู่ใกล้ ๆ กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ปัจจุบันโรงเรียนนี้เลิกกิจการไปแล้ว) ช่วงป.5 ถึง ป.7 ต้องเดินผ่านสนามหญ้าที่ใหญ่พอสมควรเพื่อไปที่ป้ายรถเมล์สาย 54 หรือ 74 แล้วขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ซึ่งตอนเย็น ๆ จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายของกินที่สนามหญ้าแห่งนี้ ผมก็ชอบแวะซื้อขนมกินที่สนามแห่งนี้แหละครับ

            นอกจากพ่อค้าแม่ค้ามาขายของแล้ว ผมก็ยังเห็นคนอีกประเภทหนึ่งมาทำการแสดงเช่นเอางูเห่ามากัดกับพังพอนเพื่อจะขายน้ำมันนวดแก้ปวดเมื่อย แต่กว่าจะเปิดให้งูเห่าออกมากัดกับพังพอน เขาจะโฆษณาสรรพคุณของน้ำมันทาแก้ปวดเมื่อยเป็นชั่วโมง

แล้วก็จะมีหน้าม้ามาช่วย Recommend สรรพคุณของน้ำมันแก้ปวดเมื่อยว่าดีเยี่ยมแค่ไหน ถึงขนาดคนที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตทาแล้วลุกขึ้นเดินได้คล่องปรื๋อ

            หรือบางรายก็อุ้มพระองค์ใหญ่ ๆ หน้าตัก 9 นิ้ว (บางองค์ใหญ่กว่านี้) มาขาย โดยอ้างว่าเป็นพระเก่าแก่โบราณเพิ่งจะแตกกรุออกมา องค์นี้นี่เป็น Exclusive เลยนะเนี่ยะ ถ้าซื้อไปแล้วจะทำให้เกิดสิริมงคล ลาภ ยศ เงินทองจะไหลมาเทมาราวกับน้ำท่วมใหญ่อะไรทำนองนั้น

            แล้วก็ตามสูตรเดิมคือจะมีหน้าม้าทำทีมาส่องมาสำรวจพระแล้วก็พูดแบบผู้เชี่ยวชาญว่าพระนี้เก่าจริง ดีจริง และบอกว่าตัวเองจะซื้อแต่พอควักกระเป๋าตังค์ออกมาแล้วเงินไม่พอขอวางมัดจำไว้ก่อนแล้วจะรีบกลับไปเอาเงินที่บ้านมาซื้อ

            พอหน้าม้ากลับไปแล้ว คนขายก็จะเปิดการประมูลให้เหยื่อที่หลงเชื่อมาซื้อพระเก๊นี้ไปในราคาที่ต่ำกว่าหน้าม้าขอซื้อ ทำนองว่าคนซื้อได้ราคาที่ต่ำกว่าคนเมื่อกี๊ซะอีก

            ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ท่านต้องไม่ลืมว่าผมเดินผ่านสนามหญ้านี้ทุกวัน และหยุดดูพวกสแกมเมอร์พวกนี้ทุกวัน เห็นหน้าม้าหน้าเดิมทุกวัน

แต่คนที่ไม่ใช่ขาประจำอย่างผมจะไม่เห็นภาพอย่างที่ผมเห็น

คนที่เป็นขาจรไม่ได้เป็นขาประจำที่ผ่านสนามหญ้าทุกวันอย่างผมจึงตกเป็นเหยื่อได้ง่ายกว่า

            นี่จึงอาจจะเป็นโชคดีของผมที่ได้เห็นการฉ้อฉลหลอกลวงเหล่านี้มาตั้งแต่เด็กและเห็นมาไม่น้อยกว่า 3 ปีที่ต้องเดินผ่านสนามหญ้าไปที่ป้ายรถเมล์ทุกวันก็เลยทำให้มีภูมิต้านทานพวกสแกมเมอร์ในยุคปัจจุบันก็เป็นได้มั๊งครับ

            เพราะไม่ว่าจะเป็นสแกมเมอร์รุ่นเก่ารุ่นโบราณที่ผมเจอมาหรือจะเป็นสแกมเมอร์ออนไลน์ในยุคนี้ต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันคือหาเงินจากการต้มตุ๋นหลอกลวงเหยื่อมาสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองโดยไม่เคยสนใจว่าเหยื่อจะเดือดร้อนทุกข์ใจหรือเหยื่อบางรายถึงกับคิดสั้นก็เป็นข่าวให้เห็นมาหลายรายแล้ว

            สิ่งที่แตกต่างระหว่างสแกมเมอร์รุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ที่น่าตกใจคือสแกมเมอร์รุ่นเก่าเป็นการต้มตุ๋นหลอกลวงเหมือนโจรกระจอกทำงานแบบเอกเทศ

แต่สแกมเมอร์ปัจจุบันทำงานเป็นเครือข่ายแถมมีผู้มีอิทธิพลมีสีหนุนหลังทำกันเป็นขบวนการกันจนถึงระดับประเทศ แถมมีผู้นำบางประเทศอยู่เบื้องหลังอีกต่างหาก

นี่แหละครับคือประสบการณ์ของผมกับพวกสแกมเมอร์ยุคเก่าที่อยากเอามาเล่าสู่กันฟัง