วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ลงเวลาแทนกันถือเป็นการทุจริตผิดร้ายแรงหรือไม่?

           หลายบริษัทมักจะมีกฎระเบียบในการทำงานที่เกี่ยวกับการทำงานในเรื่องของการลงเวลามาทำงานเอาไว้ว่า “ห้ามพนักงานลงเวลาทำงานแทนกัน ถ้าหากฝ่าฝืนจะถือว่าทุจริตและบริษัทจะเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยเพราะถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง” โดยพนักงานจะต้องลงเวลามาทำงานทุกครั้งที่เข้าและออกจากสถานที่ทำงาน

            อยู่มาวันหนึ่งชวนพิศต้องออกไปติดต่อลูกค้าในช่วงบ่าย ซึ่งชวนพิศก็รู้ดีว่ากว่าจะไปถึงบริษัทลูกค้า กว่าจะพูดคุยกับลูกค้าเสร็จก็คงเย็นหรือค่ำ แล้วถ้าต้องฝ่าการจราจรเพื่อกลับมารูดบัตรลงเวลาออกจากบริษัทคงไม่ทันเป็นแน่ ก็เลยฝากบัตรพนักงานไว้กับชิดชมเพื่อนซี้ในแผนกเดียวกันให้ช่วยรูดบัตรในช่วงเย็นให้ด้วย

            ตกเย็นชิดชมก็ไปรูดบัตรออกจากบริษัททั้งของตัวเองและของชวนพิศ ปรากฏว่ารปภ.เห็นเข้าว่าชิดชมรูดบัตรสองใบก็เลยแจ้งไปที่ฝ่ายบุคคล 

         วันรุ่งขึ้นฝ่ายบุคคลก็แจ้งมาที่หัวหน้างานของชวนพิศและชิดชมว่าทั้งสองคนทำผิดกฎระเบียบของบริษัทโดยรูดบัตรแทนกันถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ดังนั้นบริษัทจะต้องเลิกจ้างทั้งสองคนโดยไม่จ่ายค่าชดเชยใด ๆ ทั้งสิ้น

         หัวหน้าของชวนพิศและชิดชมก็เรียกลูกน้องมาสอบถามว่าเรื่องราวเป็นยังไง ทั้งสองคนก็ให้การมาตามที่ผมเล่าให้ฟังมาตั้งแต่ต้นแล้วล่ะครับ และเมื่อหัวหน้างานโทรไปหาลูกค้าทางลูกค้าก็ยืนยันว่าชวนพิศไปพบในเรื่องงานของบริษัทจริงกว่าจะประชุมเลิกก็หกโมงเย็นแล้ว 

         อีกทั้งชวนพิศและชิดชมก็บอกว่าเธอไม่ได้ทุจริตยักยอกเงินทองหรือมีการจ้างวานให้รูดบัตรอะไรนี่นา แต่ยอมรับว่ารูดบัตรแทนกันจริงเพราะชวนพิศไม่อยากจะฝ่ารถติดเพื่อเข้ามารูดบัตรตอนค่ำที่บริษัท

         ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือ..ตกลงว่าการรูดบัตรแทนกันแบบนี้ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงเพราะเข้าข่ายทุจริตตามระเบียบของบริษัทหรือไม่ ?

        เรื่องทำนองนี้เคยต้องไปถึงศาลแรงงานมาแล้วนะครับ ผมขอนำคำพิพากษาศาลฎีกามาให้ท่านดูตามนี้

        ฎ.3095/2537 “การตอกบัตรแทนกันช่วงเลิกงานไม่ได้ค่าจ้างเพิ่ม นายจ้างไม่เสียหายแต่เป็นการผิดข้อบังคับการทำงานเท่านั้น ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง..”

          จากกรณีข้างต้นเมื่อดูจากข้อเท็จจริงแล้วพนักงานทั้งสองคนมีความผิดในเรื่องรูดบัตรแทนกันก็จริงอยู่ 

           แต่ความผิดนี้ “ไม่ร้ายแรง” เพราะไม่ได้เป็นการทุจริตนะครับ

            ดังนั้น ในกรณีนี้บริษัทควรออกหนังสือตักเตือนพนักงานทั้งสองคนว่าห้ามรูดบัตรลงเวลาแทนกันอีก ถ้าลงเวลาแทนกันอีกบริษัทจะลงโทษยังไงต่อไปเช่นจะเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยเพราะบริษัทได้เคยตักเตือนในเรื่องนี้ไว้แล้วเป็นต้น

            แต่การที่บริษัทจะเลิกจ้างทันทีในครั้งนี้โดยไม่จ่ายค่าชดเชยนั้น ถ้าทั้งสองคนนี้ไปฟ้องศาลแรงงานบริษัทก็เตรียมค่าชดเชยตามอายุงานเอาไว้จ่ายพนักงานทั้งสองคนด้วยก็แล้วกันนะครับ

          แล้วแบบไหนล่ะที่บริษัทสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีที่พนักงานลงเวลาแทนกัน ?

          ก็เช่น..บริษัทให้ชวนพิศทำงานล่วงเวลาตั้งแต่ 17.00-22.00 น.แต่พอถึงเวลาทำโอทีชวนพิศกลับแว๊บไปดูหนังกับแฟนแล้วฝากบัตรให้ชิดชมช่วยรูดบัตรแทนให้ด้วย แล้วเอาค่าโอทีมาแบ่งกัน

          อย่างนี้แหละครับเข้าข่ายทุจริตเพราะรับเงินค่าโอทีของบริษัทไปแล้วแต่ไม่ได้ทำงานให้บริษัทจริง แถมยังเอาเงินค่าโอทีมาติดสินบนเพื่อนให้รูดบัตรกลับบ้านแทนเสียอีก 

          พฤติการณ์แบบนี้แหละครับถึงจะเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ และบริษัทสามารถเลิกจ้างทั้งสองคนได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงาน

          ประเด็นหลักที่สำคัญในเรื่องนี้ก็คือ..ให้ดูที่ข้อเท็จจริงประกอบด้วยว่าเป็นอย่างไร และข้อเท็จจริงนั้นเข้าข่ายทุจริตเป็นความผิดร้ายแรงตามข้อบังคับจริงหรือไม่ครับ