ปัญหามีอยู่ว่าเมื่อบริษัทรับเข้าทำงานก็จะมีเงื่อนไขว่าบริษัทจะหักเงินค้ำประกันการทำงานในระหว่างการทดลองงาน และถ้าไม่ผ่านทดลองงานบริษัทจะยึดเงินค้ำประกันการทำงาน
ถามว่าบริษัทจะทำอย่างนี้ได้หรือไม่?
ท่านที่รู้กฎหมายแรงงานก็คงจะยิ้มอยู่ในใจและมีคำตอบแล้วใช่ไหมครับ
แต่ต้องยอมรับความจริงนะครับว่าทุกวันนี้คนที่ยังไม่รู้กฎหมายแรงงาน (ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายลูกจ้างหรือฝ่ายนายจ้างก็ตาม) ยังมีอยู่ไม่น้อยเลยแหละ
จากตัวอย่างข้างต้น เมื่อเราไปดูกฎหมายแรงงาน (หรือเรียกให้เต็มยศว่า“พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน”) ได้เขียนไว้ดังนี้....
“ม.10 ภายใต้บังคับม.51 วรรคหนึ่ง
ห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สินอื่น หรือ การค้ำประกันด้วยบุคคลจากลูกจ้าง เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพการทำงานนั้นลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้
ทั้งนี้ลักษณะหรือสภาพของงานที่เรียกหรือรับหลักประกันจากลูกจ้าง ตลอดจนประเภทของหลักประกัน จำนวนมูลค่าของหลักประกัน และวิธีการเก็บรักษาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด....”
จากข้อความในกฎหมายแรงงานข้างต้นก็ต้องกลับมาถามว่า ตำแหน่งงานที่บริษัทอ้างว่าจำเป็นต้องหักเงินค้ำประกันการทำงานน่ะ
เป็นตำแหน่งอะไร เป็น“ตำแหน่งที่มีลักษณะหรือสภาพของการทำงานที่พนักงานต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของบริษัท ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้” หรือไม่
ซึ่งตำแหน่งงานดังกล่าวก็เช่น....
1. งานสมุห์บัญชี
2. งานพนักงานเก็บหรือจ่ายเงิน
3. งานควบคุมหรือรับผิดชอบเกี่ยวกับวัตถุมีค่า คือ เพชร พลอย เงิน ทองคำทองคำขาวและไข่มุก
4. งานเฝ้าหรือดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินของนายจ้าง หรือที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายจ้าง
5. งานติดตามหรือเร่งรัดหนี้สิน
6. งานควบคุมหรือรับผิดชอบยานพาหนะ
7. งานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการคลังสินค้า ซื้อขาย แลกเปลี่ยน
8. ให้เช่าทรัพย์ ให้เช่าซื้อ ให้กู้ยืม รับฝากทรัพย์ รับจำนอง รับจำนำ รับประกันภัย รับโอนหรือรับจัดส่งเงินหรือการธนาคาร
ถ้าหากไม่ใช่งานที่ลักษณะที่บอกมาข้างต้นแล้วบริษัทจะมาทำโมเมเรียกเก็บเงินค้ำประกันการทำงานทุกตำแหน่งงานนั้น บอกได้คำเดียวว่า “ผิดกฎหมายแรงงาน” ครับ !!
ซึ่งโทษของการกระทำความผิดตามมาตรา 10 ก็คือ “ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
!!
แล้วถ้าสมมุติว่าบริษัทเรียกรับเงินค้ำประกันการทำงานเอาไว้
แล้วเมื่อพนักงานไม่ผ่านทดลองงานก็ยังไม่คืนเงินค้ำประกัน ได้ โดยอ้างเหตุว่าผลการปฏิบัติงานระหว่างทดลองงานไม่ดี (ซึ่งเป็นเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ
ที่ฟังไม่ขึ้นว่าทำไมถึงไม่คืนเงินค้ำประกันทั้ง ๆ ที่พนักงานก็ไม่ได้ทำให้งานบริษัทเสียหายอะไร)
อย่างนี้ก็ต้องไปฟ้องศาลแรงงานเพื่อให้บทเรียนกับบริษัทที่ตุกติกกับพนักงานกันบ้างแหละครับ
ผมเลยมีคำถามทิ้งท้ายว่า ตกลงบริษัทพวกนี้จะทำธุรกิจอะไรกันแน่ระหว่างธุรกิจหลักของบริษัท หรืออยากจะหารายได้จากผู้สมัครงานที่ไม่รู้กฎหมายแรงงานกันแน่
เมื่อรู้เช่นเห็นชาติกันอย่างนี้แล้วต้องคิดให้ดี
ๆ
ว่าเราควรจะทำงานกับบริษัทแบบนี้ดีหรือไม่ในเมื่อเล่นเอาเปรียบกันตั้งแต่เพิ่งเริ่มงานกันแบบเนี้ยะ
ก่อนจะเซ็นสัญญาจ้างอย่าลืมสอบถามเงื่อนไขในการทำงานให้ครบถ้วนนะครับ