วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2568

งบประมาณฐานศูนย์ (Zero Base Budget) คืออะไร?

             วันนี้มีเรื่องเก่ามาเล่าใหม่สู่กันฟังเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับระบบงบประมาณของบริษัท ซึ่ง HR ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการนำเสนอและควบคุมงบประมาณด้าน Staff Cost ด้วยเหมือนกัน

            ปกติเรามักจะทำงบประมาณกันโดยอ้างอิงข้อมูลจากการใช้งบประมาณปีที่ผ่านมา (Baseline Budget) ใช่ไหมครับ

            เช่น สมมุติในปีที่ผ่านมาบริษัทตั้งงบประมาณเกี่ยวกับวัสดุสิ้นเปลืองเอาไว้ 2 ล้านบาทก็จะมีการใช้งบนั้นจริงให้อยู่ในงบประมาณที่ตั้งเอาไว้

            แล้วในปีถัดมาก็จะตั้งงบประมาณเอาไว้ประมาณ 2 ล้านบาทเท่ากับปีที่ผ่านมา

            แต่ถ้าพบว่าปีที่ผ่านมามีการเบิกจ่ายจริงเป็น 2.5 ล้านบาท ก็มีแนวโน้มว่าจะตั้งงบประมาณในปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 2.5-3.0 ล้านบาท

            จึงทำให้บริษัทมีแนวโน้มจะมี Cost เพิ่มขึ้นไปในแต่ละปี ในยามที่บริษัทยังมีรายได้มีกำไรดี เศรษฐกิจดีก็อาจจะมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป

            แต่ถ้าในยามที่เศรษฐกิจย่ำแย่ ยอดขายตก กำไรลดลงล่ะ บริษัทจะแบกค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นไหวไหม?

          ก็เลยเป็นที่มาของงบประมาณฐานศูนย์ (Zero Base Budget) ที่ Peter Pyhrr (ปีเตอร์ เพียร์) พัฒนาขึ้นมาในปี 1970 (2513)

            โดยตั้งคำถาม 3 ประการคือ

1.      เรายังมีความจำเป็นในการทำโครงการหรือเรื่องนั้น ๆ ในปีถัดไปอยู่หรือไม่

2.      งบประมาณที่หน่วยงานขอมานั้น สูงเกินเหตุหรือเปล่า และ

3.      ผลลัพธ์ของโครงการนั้น ๆ ในปีที่ผ่านมาเป็นมรรคเป็นผลยังไงบ้าง สำเร็จหรือล้มเหลวมากน้อยแค่ไหน

แล้วหลักการนี้ก็ถูกนำมาใช้ในการจัดการงบประมาณของรัฐบาลกลางในยุคที่จิมมี คาร์เตอร์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

หลักการนี้คือการทำแผนงบประมาณจากกระดาษเปล่าแทนที่จะใช้วิธีการจัดทำงบประมาณโดยอ้างอิง Baseline ในปีที่ผ่านมาเหมือนแต่ก่อน

แต่ละหน่วยงานยังต้องนำเสนอโครงการโดยไม่ต้องไปดูว่าปีที่แล้วของบไว้เท่าไหร่ แต่ให้ใช้หลักการตั้งคำถาม 3 ข้อข้างต้นประกอบการนำเสนองบประมาณในปีหน้า และหาเหตุผลมาสนับสนุนว่าทำไมหน่วยงานของเราถึงควรจะได้รับงบประมาณจำนวนนี้เพราะอะไรซึ่งจะต้องมี “ข้อมูล” อย่างละเอียดโดยวัดกันที่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้อย่างชัดเจน

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว HR คงพอจะได้ไอเดียเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมและนำไปปรับใช้ในการทำงบประมาณด้าน Staff Cost ให้สอดคล้องกับยามที่เศรษฐกิจมีปัญหาอย่างที่เรากำลังเจอกันอยู่นี้กันบ้างแล้วนะครับ