วันนี้มีเรื่องเก่ามาเล่าใหม่สู่กันฟังเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับระบบงบประมาณของบริษัท ซึ่ง HR ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการนำเสนอและควบคุมงบประมาณด้าน Staff Cost ด้วยเหมือนกัน
            ปกติเรามักจะทำงบประมาณกันโดยอ้างอิงข้อมูลจากการใช้งบประมาณปีที่ผ่านมา
(Baseline
Budget) ใช่ไหมครับ
            เช่น
สมมุติในปีที่ผ่านมาบริษัทตั้งงบประมาณเกี่ยวกับวัสดุสิ้นเปลืองเอาไว้ 2 ล้านบาทก็จะมีการใช้งบนั้นจริงให้อยู่ในงบประมาณที่ตั้งเอาไว้
            แล้วในปีถัดมาก็จะตั้งงบประมาณเอาไว้ประมาณ
2 ล้านบาทเท่ากับปีที่ผ่านมา
            แต่ถ้าพบว่าปีที่ผ่านมามีการเบิกจ่ายจริงเป็น
2.5 ล้านบาท ก็มีแนวโน้มว่าจะตั้งงบประมาณในปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 2.5-3.0
ล้านบาท 
            จึงทำให้บริษัทมีแนวโน้มจะมี
Cost เพิ่มขึ้นไปในแต่ละปี ในยามที่บริษัทยังมีรายได้มีกำไรดี เศรษฐกิจดีก็อาจจะมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป
            แต่ถ้าในยามที่เศรษฐกิจย่ำแย่
ยอดขายตก กำไรลดลงล่ะ บริษัทจะแบกค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นไหวไหม?
          ก็เลยเป็นที่มาของงบประมาณฐานศูนย์ (Zero Base Budget) ที่ Peter Pyhrr (ปีเตอร์ เพียร์) พัฒนาขึ้นมาในปี
1970 (2513) 
            โดยตั้งคำถาม
3 ประการคือ
1.     
เรายังมีความจำเป็นในการทำโครงการหรือเรื่องนั้น
ๆ ในปีถัดไปอยู่หรือไม่
2.     
งบประมาณที่หน่วยงานขอมานั้น
สูงเกินเหตุหรือเปล่า และ
3.     
ผลลัพธ์ของโครงการนั้น ๆ
ในปีที่ผ่านมาเป็นมรรคเป็นผลยังไงบ้าง สำเร็จหรือล้มเหลวมากน้อยแค่ไหน
แล้วหลักการนี้ก็ถูกนำมาใช้ในการจัดการงบประมาณของรัฐบาลกลางในยุคที่จิมมี
คาร์เตอร์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
หลักการนี้คือการทำแผนงบประมาณจากกระดาษเปล่าแทนที่จะใช้วิธีการจัดทำงบประมาณโดยอ้างอิง
Baseline
ในปีที่ผ่านมาเหมือนแต่ก่อน
แต่ละหน่วยงานยังต้องนำเสนอโครงการโดยไม่ต้องไปดูว่าปีที่แล้วของบไว้เท่าไหร่
แต่ให้ใช้หลักการตั้งคำถาม 3 ข้อข้างต้นประกอบการนำเสนองบประมาณในปีหน้า
และหาเหตุผลมาสนับสนุนว่าทำไมหน่วยงานของเราถึงควรจะได้รับงบประมาณจำนวนนี้เพราะอะไรซึ่งจะต้องมี
“ข้อมูล” อย่างละเอียดโดยวัดกันที่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้อย่างชัดเจน
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว
HR คงพอจะได้ไอเดียเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมและนำไปปรับใช้ในการทำงบประมาณด้าน Staff
Cost ให้สอดคล้องกับยามที่เศรษฐกิจมีปัญหาอย่างที่เรากำลังเจอกันอยู่นี้กันบ้างแล้วนะครับ