ผมสงสัยคำ ๆ นี้และการจ่ายค่าตอบแทนตัวนี้มาตั้งแต่สมัยที่ยังทำงานเป็นพนักงาน HR เด็ก ๆ ว่าทำไมถึงต้องจ่ายค่าเบี้ยขยันด้วย พอถามใครที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็มักจะตอบว่า “เพื่อจูงใจให้พนักงานทำงานตามเป้าหมาย” หรือบางคนก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า “ก็เพื่อทำให้พนักงานขยันไง”
แต่พอถามต่อว่า “ถ้าเราไม่จ่ายเบี้ยขยันแล้วพนักงานจะไม่ขยันทำงานใช่หรือไม่
ถ้าไม่จ่ายค่าเบี้ยขยันแล้วพนักงานจะไม่มีแรงจูงใจทำงานใช่หรือไม่
ถ้าอย่างงั้นบริษัทของเราไม่ได้รับคนที่ขยันหรือ?
พูดง่าย
ๆ
ก็คือบริษัทรับแต่คนที่ขี้เกียจหรือขาดแรงจูงใจเข้ามาทำงานจนทำให้บริษัทต้องมาจ่ายเบี้ยขยันหรือ?
แล้วทำไมบริษัทถึงมีนโยบายในการรับคนแบบนี้เข้ามาทำงานแล้วต้องจ่ายเบี้ยขยันกันแบบนี้ด้วยล่ะ?”
พอตั้งคำถามชวนให้วงแตกมาอย่างนี้รับรองว่าคนที่เป็นพนักงานเป็นลูกจ้างคงจะนึกด่าผมในใจว่าเอาอีกแล้วไง มาตั้งคำถามทำให้ฉันไม่ได้รับเบี้ยขยันอีกแล้วล่ะสิ ทำให้ฉันเสียประโยชน์นี่(หว่า)
ส่วนคนที่เป็นนายจ้างก็อาจจะคิดว่า ก็เราจ่ายของเราอยู่ดี ๆ เราก็จ่ายมาอย่างงี้ตั้งนมนานแล้วไม่มีปัญหา มันจะยกมาพูดให้เป็นปัญหาไปทำไม(วะ)เนี่ยะ ? 555
ไม่ว่าฝ่ายไหนจะคิดยังไงแต่ก็ได้ข้อคิดจากการทำงานด้านนี้อย่างหนึ่งว่า….
หลายครั้งเรามักจะยึดติดสิ่งที่เราเคยทำมานานตั้งแต่อดีต
และก็ทำมันไปเรื่อย ๆ
จนเป็นความยึดติดเป็นความเคยชินโดยไม่เคยได้กลับมาคิดทบทวนดูว่าสิ่งที่เราเคยทำมาในอดีตนั้น
เราทำมาเพื่ออะไรและในปัจจุบันเราควรจะต้องปรับปรุง Update เรื่องที่เคยทำมาให้มันเหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบันบ้างหรือยัง
หรือที่ทำไปก็เพราะมันเคยทำตาม ๆ
กันมาก็เลยทำต่อไปโดยไม่ต้องไปคิดไปปรับปรุงแก้ไขอะไรหรอกทำเหมือนเดิมมันก็ดีอยู่แล้ว
ถ้าคิดอย่างนั้นก็เอาที่สบายใจก็ขอให้ทำต่อไปเรื่อย ๆ อยู่ใน Comfort Zone โดยไม่ต้องคิดอะไรกันอีกก็แล้วกันนะครับ
และถ้าคิดอย่างแบบนี้ก็คงไม่จำเป็นต้องอ่านบรรทัดข้างล่างนี้ก็ได้ครับ
เรื่องนี้จึงมีข้อสังเกตชวนให้คิดอย่างนี้ครับ
1.
มักจะพบว่าบริษัทที่จ่ายค่าเบี้ยขยันมักจะจ่ายเงินเดือนให้พนักงานต่ำกว่าตลาด ก็เลยต้องมีเงินค่าตอบแทนตัวอื่นมาจ่ายเพิ่มให้กับพนักงานเพื่อทำให้ดูว่าภาพรวมพนักงานมีรายได้เพิ่มขึ้น
ซึ่งก็มักจะเรียกเงินตัวนี้ว่า “เบี้ยขยัน” ตาม ๆ กันมา ซึ่งเจ้าค่าเบี้ยขยันนี้ก็จะไม่รวมในฐานเงินเดือนจะได้ไม่ต้องนำไปใช้เป็นฐานในการคำนวณโอที, โบนัส, ค่าชดเชย ฯลฯ
แต่ขอให้นายจ้างทราบเอาไว้ว่าถ้าการจ่ายเบี้ยขยันนั้นไม่ใช่การจ่ายเพื่อการจูงใจในการทำงานของลูกจ้างอย่างแท้จริงแล้วล่ะก็ เบี้ยขยันก็มีโอกาสจะถูกตีความเป็น “ค่าจ้าง” ซึ่งก็ต้องนำมารวมเป็นฐานคำนวณในการจ่ายโอที, ค่าชดเชย,
ค่าตกใจ, ประกันสังคม อยู่ดี
ดังนั้นอย่าคิดว่าเบี้ยขยันไม่ใช่ค่าจ้างอย่างที่ "เขาว่า" (คือใครก็ไม่รู้) เสมอไปนะครับ เพราะถ้าทำไม่ดีเงินตัวนี้ก็กลายเป็นค่าจ้างได้เหมือนกัน
2.
หลักในการจ่ายเบี้ยขยันก็มักจะมาผูกไว้กับเรื่องของการมาทำงานว่าพนักงานต้องป่วย สาย ลา ขาด ไม่เกินที่บริษัทกำหนด ซึ่งก็น่าแปลกที่ว่าบริษัททำไมต้องมาจูงใจให้พนักงานมาทำงานตรงเวลาด้วยการจ่ายค่าเบี้ยขยันด้วยล่ะ
แสดงว่าตั้งแต่ตอนรับคนเข้ามา บริษัทไม่ได้ต้องการคนที่มาทำงานตรงเวลาเข้ามาหรือ ถึงต้องมาจูงใจให้เขามาทำงานตรงเวลาด้วยการจ่ายค่าเบี้ยขยัน?
หรือเรื่องการขาดงานก็เช่นเดียวกัน บริษัทรับเอาคนที่พร้อมจะขาดงานเข้ามาทำงานจนต้องมาจ่ายค่าเบี้ยขยันเพื่อจูงใจไม่ให้เขาขาดงานหรือ?
ดูหลักคิดในการจ่ายแบบนี้แล้วมันย้อนแย้งในตรรกะของการจ่ายเงินแบบจูงใจนะครับ เพราะการมาทำงานตรงเวลาหรือการไม่ขาดงานน่ะมันเป็นเรื่องของ “วินัย” และ
“ความรับผิดชอบ” ที่พนักงานที่ดีทั่ว ๆ ไปควรจะปฏิบัติอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ
นี่ยังไม่รวมคำถามที่ว่าคนที่มาทำงานตรงเวลา
ไม่เคยป่วยสายลาขาดงานเกินกำหนดจะเป็นคนที่มีผลการทำงานดีตามไปด้วยจริงหรือ?
3.
ที่บอกมาข้างต้นเพราะเบี้ยขยันควรจะเป็นเงินที่จ่ายเพื่อจูงใจพนักงานให้ทำงานได้ดีกว่ามาตรฐานที่บริษัทกำหนด เช่น สมมุติว่าพนักงานเคยผลิตสินค้าได้วันละ 10 ชิ้นตามมาตรฐาน แต่ถ้าพนักงานคนไหนสามารถทำได้ 11,
12, 13, 14 ฯลฯชิ้นพนักงานคนนั้นก็จะได้เงินจูงใจเพิ่มจากผลงานที่ทำได้เกินมาตรฐานชิ้นละกี่บาทเป็นต้น
ส่วนเรื่องของการมาทำงานตรงเวลาไม่มาสาย หรือเรื่องที่พนักงานต้องไม่ขาดงานอู้งานนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่พนักงานที่ดีควรจะต้องปฏิบัติอยู่แล้ว ถ้าใครมีปัญหาในเรื่องเหล่านี้ก็ต้องไปว่ากันไปในทางวินัย เช่น
การตักเตือนหรือให้คุณให้โทษกันตามวินัยข้อบังคับในการทำงานครับ
4.
บริษัทควรหันกลับมาทบทวนโครงสร้างการจ่ายค่าตอบแทนเสียใหม่(อย่าลืมว่าโครงสร้างค่าตอบแทนไม่ใช่โครงสร้างเงินเดือนนะครับอย่านำไปปะปนกันให้สับสน) ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเป็นจริงและแข่งขันกับตลาดได้
เช่น เราควรจะมีการสำรวจค่าจ้างเงินเดือนในตลาดและมาวิเคราะห์ดูว่าบริษัทควรจะวาง
Pay mix ในตำแหน่งต่าง ๆ
เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมและสามารถแข่งขันได้
5.
ถ้าบริษัทจะะปรับเปลี่ยนการจ่ายค่าเบี้ยขยันแบบเดิมมาเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจสำหรับพนักงานที่มีผลงานดีกว่ามาตรฐานที่บริษัทกำหนด
แล้วจ่ายตามผลงานที่ทำได้ตามหลัก Equal work equal pay จะดีกว่าไหม
ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้ท่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็คงเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละคน ผมแค่เพียงนำเสนอข้อสังเกตของผมในเรื่องนี้เท่านั้นเองครับ