วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ทำไมต้องจ่ายค่าเบี้ยขยัน

           ผมสงสัยคำ  นี้และการจ่ายค่าตอบแทนตัวนี้มาตั้งแต่สมัยที่ยังทำงานเป็นพนักงาน HR เด็ก  ว่าทำไมถึงต้องจ่ายค่าเบี้ยขยันด้วย พอถามใครที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็มักจะตอบว่า “เพื่อจูงใจให้พนักงานทำงานตามเป้าหมาย” หรือบางคนก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า “ก็เพื่อทำให้พนักงานขยันไง” 

แต่พอถามต่อว่า “ถ้าเราไม่จ่ายเบี้ยขยันแล้วพนักงานจะไม่ขยันทำงานใช่หรือไม่ ถ้าไม่จ่ายค่าเบี้ยขยันแล้วพนักงานจะไม่มีแรงจูงใจทำงานใช่หรือไม่ 

ถ้าอย่างงั้นบริษัทของเราไม่ได้รับคนที่ขยันหรือ?

พูดง่าย ๆ ก็คือบริษัทรับแต่คนที่ขี้เกียจหรือขาดแรงจูงใจเข้ามาทำงานจนทำให้บริษัทต้องมาจ่ายเบี้ยขยันหรือ?

             แล้วทำไมบริษัทถึงมีนโยบายในการรับคนแบบนี้เข้ามาทำงานแล้วต้องจ่ายเบี้ยขยันกันแบบนี้ด้วยล่ะ?”

            พอตั้งคำถามชวนให้วงแตกมาอย่างนี้รับรองว่าคนที่เป็นพนักงานเป็นลูกจ้างคงจะนึกด่าผมในใจว่าเอาอีกแล้วไง มาตั้งคำถามทำให้ฉันไม่ได้รับเบี้ยขยันอีกแล้วล่ะสิ ทำให้ฉันเสียประโยชน์นี่(หว่า)

            ส่วนคนที่เป็นนายจ้างก็อาจจะคิดว่า ก็เราจ่ายของเราอยู่ดี  เราก็จ่ายมาอย่างงี้ตั้งนมนานแล้วไม่มีปัญหา มันจะยกมาพูดให้เป็นปัญหาไปทำไม(วะ)เนี่ยะ ? 555

            ไม่ว่าฝ่ายไหนจะคิดยังไงแต่ก็ได้ข้อคิดจากการทำงานด้านนี้อย่างหนึ่งว่า….

             หลายครั้งเรามักจะยึดติดสิ่งที่เราเคยทำมานานตั้งแต่อดีต และก็ทำมันไปเรื่อย ๆ จนเป็นความยึดติดเป็นความเคยชินโดยไม่เคยได้กลับมาคิดทบทวนดูว่าสิ่งที่เราเคยทำมาในอดีตนั้น เราทำมาเพื่ออะไรและในปัจจุบันเราควรจะต้องปรับปรุง Update เรื่องที่เคยทำมาให้มันเหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบันบ้างหรือยัง

               หรือที่ทำไปก็เพราะมันเคยทำตาม ๆ กันมาก็เลยทำต่อไปโดยไม่ต้องไปคิดไปปรับปรุงแก้ไขอะไรหรอกทำเหมือนเดิมมันก็ดีอยู่แล้ว

              ถ้าคิดอย่างนั้นก็เอาที่สบายใจก็ขอให้ทำต่อไปเรื่อย  อยู่ใน Comfort Zone โดยไม่ต้องคิดอะไรกันอีกก็แล้วกันนะครับ 

              และถ้าคิดอย่างแบบนี้ก็คงไม่จำเป็นต้องอ่านบรรทัดข้างล่างนี้ก็ได้ครับ

              เรื่องนี้จึงมีข้อสังเกตชวนให้คิดอย่างนี้ครับ

1.      มักจะพบว่าบริษัทที่จ่ายค่าเบี้ยขยันมักจะจ่ายเงินเดือนให้พนักงานต่ำกว่าตลาด ก็เลยต้องมีเงินค่าตอบแทนตัวอื่นมาจ่ายเพิ่มให้กับพนักงานเพื่อทำให้ดูว่าภาพรวมพนักงานมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งก็มักจะเรียกเงินตัวนี้ว่า “เบี้ยขยัน” ตาม  กันมา ซึ่งเจ้าค่าเบี้ยขยันนี้ก็จะไม่รวมในฐานเงินเดือนจะได้ไม่ต้องนำไปใช้เป็นฐานในการคำนวณโอทีโบนัสค่าชดเชย ฯลฯ 

แต่ขอให้นายจ้างทราบเอาไว้ว่าถ้าการจ่ายเบี้ยขยันนั้นไม่ใช่การจ่ายเพื่อการจูงใจในการทำงานของลูกจ้างอย่างแท้จริงแล้วล่ะก็ เบี้ยขยันก็มีโอกาสจะถูกตีความเป็น “ค่าจ้าง” ซึ่งก็ต้องนำมารวมเป็นฐานคำนวณในการจ่ายโอทีค่าชดเชย, ค่าตกใจ, ประกันสังคม อยู่ดี

ดังนั้นอย่าคิดว่าเบี้ยขยันไม่ใช่ค่าจ้างอย่างที่ "เขาว่า" (คือใครก็ไม่รู้เสมอไปนะครับ เพราะถ้าทำไม่ดีเงินตัวนี้ก็กลายเป็นค่าจ้างได้เหมือนกัน

2.      หลักในการจ่ายเบี้ยขยันก็มักจะมาผูกไว้กับเรื่องของการมาทำงานว่าพนักงานต้องป่วย สาย ลา ขาด ไม่เกินที่บริษัทกำหนด ซึ่งก็น่าแปลกที่ว่าบริษัททำไมต้องมาจูงใจให้พนักงานมาทำงานตรงเวลาด้วยการจ่ายค่าเบี้ยขยันด้วยล่ะ

แสดงว่าตั้งแต่ตอนรับคนเข้ามา บริษัทไม่ได้ต้องการคนที่มาทำงานตรงเวลาเข้ามาหรือ ถึงต้องมาจูงใจให้เขามาทำงานตรงเวลาด้วยการจ่ายค่าเบี้ยขยัน

หรือเรื่องการขาดงานก็เช่นเดียวกัน บริษัทรับเอาคนที่พร้อมจะขาดงานเข้ามาทำงานจนต้องมาจ่ายค่าเบี้ยขยันเพื่อจูงใจไม่ให้เขาขาดงานหรือ?

ดูหลักคิดในการจ่ายแบบนี้แล้วมันย้อนแย้งในตรรกะของการจ่ายเงินแบบจูงใจนะครับ เพราะการมาทำงานตรงเวลาหรือการไม่ขาดงานน่ะมันเป็นเรื่องของ “วินัย” และ “ความรับผิดชอบ” ที่พนักงานที่ดีทั่ว  ไปควรจะปฏิบัติอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ

นี่ยังไม่รวมคำถามที่ว่าคนที่มาทำงานตรงเวลา ไม่เคยป่วยสายลาขาดงานเกินกำหนดจะเป็นคนที่มีผลการทำงานดีตามไปด้วยจริงหรือ?

3.      ที่บอกมาข้างต้นเพราะเบี้ยขยันควรจะเป็นเงินที่จ่ายเพื่อจูงใจพนักงานให้ทำงานได้ดีกว่ามาตรฐานที่บริษัทกำหนด เช่น สมมุติว่าพนักงานเคยผลิตสินค้าได้วันละ 10 ชิ้นตามมาตรฐาน แต่ถ้าพนักงานคนไหนสามารถทำได้ 11, 12, 13, 14 ฯลฯชิ้นพนักงานคนนั้นก็จะได้เงินจูงใจเพิ่มจากผลงานที่ทำได้เกินมาตรฐานชิ้นละกี่บาทเป็นต้น 

ส่วนเรื่องของการมาทำงานตรงเวลาไม่มาสาย หรือเรื่องที่พนักงานต้องไม่ขาดงานอู้งานนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่พนักงานที่ดีควรจะต้องปฏิบัติอยู่แล้ว ถ้าใครมีปัญหาในเรื่องเหล่านี้ก็ต้องไปว่ากันไปในทางวินัย เช่น การตักเตือนหรือให้คุณให้โทษกันตามวินัยข้อบังคับในการทำงานครับ 

4.      บริษัทควรหันกลับมาทบทวนโครงสร้างการจ่ายค่าตอบแทนเสียใหม่(อย่าลืมว่าโครงสร้างค่าตอบแทนไม่ใช่โครงสร้างเงินเดือนนะครับอย่านำไปปะปนกันให้สับสนให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเป็นจริงและแข่งขันกับตลาดได้

เช่น เราควรจะมีการสำรวจค่าจ้างเงินเดือนในตลาดและมาวิเคราะห์ดูว่าบริษัทควรจะวาง Pay mix ในตำแหน่งต่าง ๆ เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมและสามารถแข่งขันได้

5.      ถ้าบริษัทจะะปรับเปลี่ยนการจ่ายค่าเบี้ยขยันแบบเดิมมาเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจสำหรับพนักงานที่มีผลงานดีกว่ามาตรฐานที่บริษัทกำหนด แล้วจ่ายตามผลงานที่ทำได้ตามหลัก Equal work equal pay จะดีกว่าไหม

ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้ท่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็คงเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละคน ผมแค่เพียงนำเสนอข้อสังเกตของผมในเรื่องนี้เท่านั้นเองครับ