วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

จ่ายเงินเดือน+สารพัดค่าเพื่อลด Staff Cost ดีไหม ?

             คำถามมีอยู่ว่าเดิมบริษัทเคยจ่ายเงินเดือน 100% จะเปลี่ยนเป็นจ่ายเงินเดือน+เงินช่วยเหลืออื่นเพื่อลด Staff Cost ดีไหม ?

ทุกวันนี้จะมีรูปแบบการจ่ายค่าจ้างของแต่ละบริษัทที่แตกต่างกันไปตามนโยบายหรือแนวคิดของฝ่ายบริหารของบริษัทนั้น ๆ ครับ

            เช่น บางบริษัทมีนโยบายในการจ่ายค่าจ้างเป็นเงินเดือนเพียงอย่างเดียว 100% แต่บางบริษัทจะแบ่งการจ่ายค่าจ้างออกเป็นเงินเดือน+สารพัดค่า

            คำว่า “สารพัดค่า” เป็นคำที่ผมเรียกขึ้นมาเองจากประสบการณ์ของผมนะครับ ไม่ใช่คำที่ถูกต้องทางวิชาการอะไรหรอก เพราะบางบริษัทนอกจากจะมีการจ่ายเงินเดือนแล้วก็ยังมีการจ่ายเงินอื่น ๆ อีกหลายตัวเช่น ค่าครองชีพ, ค่าวิชาชีพ, ค่าอาหาร, ค่าตำแหน่ง, ค่าเบี้ยขยัน, ค่ากะ, ค่าน้ำมัน, ค่ารถ ฯลฯ 


           ผมเห็นว่ามันมีหลายค่านักก็เลยเรียกว่าสารพัดค่าซะเลย

          ถ้าหากบริษัทไหนมีการจ่ายเงินเดือน+สารพัดค่า ผมก็มักจะพบว่าจะมีสัดส่วนระหว่างเงินเดือน : สารพัดค่าอยู่ที่ประมาณ 70 ถึง 80% : 20 ถึง 30%

            คือถ้าจ่ายเงินเดือน 80 บาท ก็จะจ่ายสารพัดค่าอยู่ 20 บาท นั่นแหละครับ

            เช่น บริษัท A กำหนดอัตราเงินเดือนเริ่มต้นสำหรับวิศวกรจบใหม่ 18,000 บาท มีค่าครองชีพให้เดือนละ 2,000 บาท ค่าวิชาชีพเดือนละ 3,000 บาท รวมเป็นรายได้เดือนละ 23,000 บาท

            ในขณะที่บริษัท B กำหนดอัตราเงินเดือนเริ่มต้นสำหรับวิศวกรจบใหม่ 20,000 บาท ค่าวิชาชีพ 3,000 บาท รวมเป็น 23,000 บาท

          จะเห็นได้ว่านโยบายการจ้างของบริษัท A และ B แตกต่างกันกล่าวคือในบริษัท A จะมีสัดส่วนเงินเดือนต่อสารพัดค่าอยู่ที่ 78 : 22

          ในขณะที่บริษัท B จะมีสัดส่วนเงินเดือนต่อสารพัดค่าอยู่ที่ 87 : 13

            นโยบายแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าจะทำให้บริษัท A มีต้นทุนในการจ้างต่ำกว่าบริษัท B เพราะฐานเงินเดือนในการจ้างวิศวกรจบใหม่ต่ำกว่าบริษัท B อยู่ 2,000 บาท ก็จะทำให้ผู้บริหารของบริษัท A คิดว่าฐานในการคำนวณโอทีอยู่ที่ 18,000 บาท ในขณะที่ฐานเงินเดือนของบริษัท B อยู่ที่ 20,000 บาท

            ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ผู้บริหารในหลายบริษัทยังมีความเชื่อและความเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อย และคิดว่าบริษัทมีสิทธิใช้เฉพาะ “เงินเดือน” เท่านั้นเป็นฐานในการคำนวณค่าโอที หรือใช้เงินเดือนเท่านั้นเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย, ค่าบอกกล่าวล่วงหน้าในกรณีที่เลิกจ้างแล้วต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้า

          แต่ความจริงก็คือเราต้องมาดูกันในรายละเอียดอีกทีหนึ่งว่าเจ้าสารพัดค่าที่บริษัทจ่ายอยู่นั้น มีตัวไหนบ้างที่เป็น “ค่าจ้าง” ตามนิยามในมาตรา 5 ของกฎหมายแรงงาน

            เพราะในกฎหมายแรงงานไม่มีมาตราไหนที่นิยามเรื่องเงินเดือนเอาไว้เลยนะครับ มีแต่ระบุคำนิยาม “ค่าจ้าง” เอาไว้เท่านั้น

            ไม่ว่าจะเป็นการใช้ “ค่าจ้าง” เป็นฐานในการคำนวณค่าโอที (ค่าล่วงเวลาในวันทำงานปกติ, ค่าทำงานในวันหยุด, ค่าล่วงเวลาในวันหยุด) หรือการใช้ค่าจ้างเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้า เป็นต้น

            อย่างกรณีตัวอย่างข้างต้นที่บริษัท A คิดว่าจะลด Staff Cost ในเรื่องการคำนวณการจ่ายค่าโอทีหรือคำนวณเพื่อจ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าด้วยการจัดองค์ประกอบเป็นเงินเดือน+สารพัดค่า จึงไม่สามารถลด Cost ในเรื่องนี้ได้จริง

          ถ้าจะลดได้ก็คงเป็นเฉพาะการใช้เงินเดือนเป็นฐานในการคำนวณการขึ้นเงินเดือนประจำปี, การปรับเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษสำหรับ Talent, การปรับเงินเดือนเมื่อเลื่อนตำแหน่ง, การใช้เงินเดือนเป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 

         อย่างนี้ล่ะก็บริษัท A จะมีฐานที่ใช้คำนวณ Staff Cost ในส่วนนี้ต่ำกว่าบริษัท B เดือนละ 2,000 บาทครับ 

         แต่ก็ต้องมาคิดกันต่อไปว่าการทำ Starting Rate ในส่วนของเงินเดือนให้ต่ำกว่าคู่แข่งเดือนละ 2,000 บาทจะมีปัญหาต่อไปในอนาคตหรือไม่

            พูดมาถึงตรงนี้ก็เลยฝากคำถามทิ้งท้ายเอาไว้ให้ลองตอบกันดูนะครับว่า “ค่าครองชีพ” และ “ค่าวิชาชีพ” ที่ทั้งบริษัท A และ B จ่ายให้กับพนักงานเป็น “ค่าจ้าง” หรือไม่ ?

            ใครตอบถูกบ้างเอ่ย 

            สำหรับคนที่ตอบถูกก็อย่าลืมไปอธิบายฝ่ายบริหารให้เข้าใจตรงกันด้วยนะครับ