วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

รู้เขา..รู้เรา..ด้วย D I S C (ตอนที่ 1)


            อันที่จริงผมเคยเขียนเรื่อง “รู้เขา-รู้เราด้วย D I S C” ไปเมื่อหลายปีที่แล้วรวม 4 ตอน แต่เมื่อผมนำมาอ่านทบทวนดูแล้วก็เห็นว่ายังมีเนื้อหาที่น่าจะปรับปรุงแก้ไขใหม่ให้ดีมากขึ้นก็เลยนำทั้ง 4 ตอนมาแก้ไขแล้วเรียบเรียงใหม่เป็น 5 ตอนเพื่อให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น ซึ่งผมจะค่อย ๆ ทะยอยนำมาลงไปทีละตอนนะครับ

            หากผมจะถามท่านว่า ท่านเคยประสบปัญหาในการพูดจา ติดต่อสื่อสาร หรือทำงานประสานงานกับผู้คนบ้างหรือไม่ ?” คงจะมีน้อยคนนะครับที่ตอบว่าไม่เคยมีปัญหาลองคิดดูง่าย ๆ ว่าแม้แต่ภายในครอบครัวเดียวกัน บางครั้งยังเกิดการกระทบกระทั่งไม่เข้าใจกันเพราะการพูดจาก็มีให้เห็นอยู่ นับประสาอะไรกับการทำงานท่านก็จะต้องมีการพูดจาติดต่อสื่อสาร หรือประสานงานซึ่งกันและกัน ซึ่งบางครั้งท่านก็สามารถประสานงานกันได้ราบรื่น แต่หลายครั้งที่ท่านเกิดปัญหาตลอดจนมีความขัดแย้งกับผู้คนที่ท่านจำเป็นจะต้องประสานงานด้วย

          อย่างที่โบราณเขาเรียกว่า ศรศิลป์ไม่กินกัน ยังไงล่ะครับ

            แต่ถ้าจะถามว่าสาเหตุของศรศิลป์ไม่กินกันน่ะมันเป็นเพราะอะไรล่ะ ? ชักจะตอบได้ยากขึ้นแล้วใช่ไหมครับ เพราะท่านก็จะมองอีกฝ่ายหนึ่งในมุมของท่านแล้วสรุปรวดรัดว่าเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านพูดเพราะเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็จะมองและคิดกับท่านในทำนองเดียวกัน

            ยิ่งหากไม่พยายามค้นหาสาเหตุของปัญหาที่เกิดการกระทบกระทั่งซึ่งกันและกัน แถมต่างฝ่ายต่างยึดมั่นถือมั่นในหลักการ ความคิด ความเชื่อ ฯลฯ ของตัวเองแล้ว ปัญหานั้นก็มีแต่จะบานปลายหนักขึ้นจนถึงขั้นทำลายล้างกันไปข้างหนึ่งก็มีให้เราเห็นได้บ่อย ๆ ไปนะครับ

          อะไรเป็นสาเหตุของความไม่เข้าใจกันล่ะครับ ?

            จากที่ผมพูดมาข้างต้น จึงมีการศึกษาถึงความแตกต่างกันของคน โดยนักจิตวิทยาที่ชื่อ Dr.William Moulton Marston แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดโดยเขียนเป็นหนังสือที่ชื่อ The Emotions of Normal People และจำแนกคนเราออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 4 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทไม่มีประเภทใดที่ดีที่สุด หรือแย่ที่สุด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์และการปรับตัวเองตามแบบของตนเอง

            และนี่เองครับจึงเป็นที่มาของคำว่า D I S C ที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้

ภูเขาน้ำแข็งกับพฤติกรรมของคน

            ท่านคงเคยได้ยินคำว่า ภูเขาน้ำแข็ง หรือ Iceberg กันมาบ้างแล้ว และหลายท่านคงทราบว่าเจ้าภูเขาน้ำแข็งที่ผมพูดถึงนี้จะมีส่วนน้อยที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา  ในขณะที่ส่วนใหญ่ของภูเขาน้ำแข็ง (ประมาณ 9 ใน 10 ส่วน) จมซ่อนอยู่ใต้น้ำ

            ทำนองเดียวกันเราจะรู้จักคนเพียงผิวเผินเฉพาะส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง แต่จริง ๆ แล้วยังยังมีส่วนที่ยังไม่รู้เกี่ยวกับคนที่ซ่อนอยู่อีกตั้งเยอะ หรือเรียกว่ารู้หน้าไม่รู้ใจตามรูปนี้ครับ

            ส่วนที่ท่านจะพบเห็นได้ชัดคือส่วนที่ (1) ใช่ไหมครับเพราะเป็นสิ่งที่วัดได้จับต้องสัมผัสได้ แต่ส่วนที่ (2) เป็นสิ่งที่ต้องใช้การสังเกตหรือการค้นหาที่ต้องใช้เวลานานกว่าส่วนที่ (1) เพื่อที่จะยืนยันได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

            เมื่อท่านอ่านเรื่องนี้จนจบท่านจะได้แนวทางในการสังเกต และพอจะบอกได้ว่าพฤติกรรมของผู้สมัครงานคนนั้น ๆ น่าจะเป็นอย่างไร

ธรรมชาติของมนุษย์

            สังเกตไหมครับว่าเวลาที่เราอยู่ที่บ้านเราทำตัวอย่างไร และเมื่อเราต้องมาสวมหัวโขนอยู่ในที่ทำงาน เราทำตัวเหมือนอยู่ที่บ้านหรือไม่ ?

            เช่น...

            อยู่ที่บ้านเราอาจจะสวมเสื้อยืด นุ่งกางเกงขาสั้นแบบสบาย ๆ เดินออกไปรอบ ๆ บ้าน หรือไปซื้อของที่ตลาดก็สวมรองเท้าแตะไป

            แต่พอมาอยู่ที่ทำงานเราอาจจะต้องแต่งตัวให้ดูดีดูเหมาะสม ฯลฯ

            หลาย ๆ คนก็จะอึดอัดถ้าเราเป็นคนชอบแต่งตัวตามสบาย

            หลายคนที่สมัยเรียนหนังสือก็ใส่เสื้อนุ่งยีนส์ไปเรียน ไม่เคยผูกเน็คไท แต่วันแรกที่ต้องไปสัมภาษณ์งานก็ต้องผูกไท ก็ต้องให้รุ่นพี่ (ที่จบไปทำงานก่อนหน้า) สอนให้เพราะผูกไม่เป็น แถมเมื่อทำงานก็ยังต้องผูกเน็คไทอยู่ทุกวันทั้งที่รู้สึกอึดอัดเพราะความไม่เคยชิน

            นี่ไงครับชีวิตที่แตกต่างกันระหว่างที่บ้านหรือเวลาที่เป็นส่วนตัวของเรากับที่ทำงาน

            จากที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้เพื่อที่จะให้ท่านได้ทบทวนภาพของคน และพฤติกรรมของคนที่แตกต่างกันตามพื้นฐาน หรือพื้นเพที่แตกต่างกันไป ซึ่งจะสะท้อนถึงความเก่งหรือความสามารถทั้งทางทักษะฝีมือ และความสามารถทางอารมณ์ที่แตกต่างกันไปด้วย

            ซึ่งเจ้า ความเก่ง ที่ผมพูดถึงนี้มักจะเป็นทักษะทางธรรมชาติที่ไม่เหมือนกับการเรียนเลข เรียนภาษา หรือความรู้อื่น ๆ ซึ่งทุกท่านก็ใช้ทักษะหรือความเก่งเฉพาะตัวนี้ในการทำงาน หรือในชีวิตประจำวันอยู่ทั้งโดยที่รู้ตัวและโดยไม่รู้ตัว

            ทักษะความสามารถที่ท่านใช้อยู่ทุก ๆ วันในการโต้ตอบ ตัดสินใจ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันที่ผมพูดถึงนี้แหละครับที่คุณ William Marston บอกว่ามันเป็นสไตล์ (Style) ของแต่ละบุคคลและแกก็ได้ค้นคว้าและเขียนเป็นหนังสือที่ชื่อ The Emotions of Normal People ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า D I S C ที่ผมนำมาเล่าให้ท่านฟังในเบื้องต้นนี้ไงล่ะครับ

            วันนี้หมดเนื้อที่พอดี ขอยกยอดให้ท่านติดตามตอนต่อไปนะครับ.....

…………………………………………….