วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

การสิ้นสภาพการจ้างมีกี่แบบ?

           การสิ้นสภาพการจ้างถ้าพูดง่าย ๆ ก็คล้าย ๆ กับการแยกทางของคู่สามีภรรยาแบบทางใครทางมัน หรือเหมือนงานเลี้ยงที่ต้องเลิกราแหละครับ

แล้วมีกี่แบบล่ะ?

ท่านว่ามีอยู่ 3 วิธีคือ

1.      เมื่อนายจ้างบอกเลิกจ้าง หรือบริษัทเป็นผู้บอกเลิกจ้างพนักงานหรือลูกจ้าง ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมากมายหลายหลากเช่น

- บริษัทประสบวิกฤติขาดทุน, ขาดสภาพคล่องทางการเงินต้องปิดกิจการ

- พนักงานปฏิบัติงานไม่ดีไม่เป็นที่พอใจตามที่บริษัทต้องการ ทำงานไม่ได้ตาม KPIs

- พนักงานมีปัญหาโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

- การเกษียณอายุตามระเบียบของบริษัท

-พนักงานทุจริตลักขโมยทรัพย์สินของบริษัท

-มาสายเป็นนิจลากิจเป็นประจำพฤติกรรมระรานเพื่อน ๆ ไม่รับผิดชอบการงาน

- ฯลฯ

เหตุผลดังที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้นนี่แหละครับที่มักจะเป็นสาเหตุที่นายจ้างหรือบริษัทเป็นผู้บอกเลิกจ้างพนักงานหรือลูกจ้างได้

สรุปง่าย ๆ ว่าการสิ้นสุดของสัญญาจ้างเกิดจากทางฝ่ายของนายจ้างหรือบริษัทเป็นผู้บอกเลิกจ้างครับ

2.      เมื่อลูกจ้างบอกเลิกสัญญาจ้าง ก็คือพนักงานยื่นใบลาออกแหละครับ ส่วนสาเหตุของการบอกเลิกการจ้างจากทางฝั่งของลูกจ้างก็เช่น

- ได้งานใหม่

- ไปเรียนต่อ

- ไปประกอบอาชีพส่วนตัว

-หัวหน้าบ้าอำนาจมีวาจาเป็นอาวุธมีดาวพุธเป็นวินาศ

- ฯลฯ

ซึ่งเมื่อลูกจ้างเขียนใบลาออกและระบุวันที่มีผลลาออกวันไหน ก็จะมีผลเมื่อนั้นทันที โดยไม่จำเป็นต้องให้ใครอนุมัติการลาออกแต่อย่างใด

แม้ว่าบางบริษัทอาจจะมีกฎระเบียบบอกไว้ว่าให้พนักงานยื่นใบลาออกล่วงหน้า 30 วัน และต้องให้ฝ่ายบริหารอนุมัติการลาออกเสียก่อนจึงจะลาออกได้ก็ตาม

แต่ถ้าจะว่ากันตามกฎหมายแรงงานแล้ว จะถือวันที่ลูกจ้างระบุไว้ในใบลาออกเป็นสำคัญ (แต่ลูกจ้างที่ดีควรจะเขียนใบลาออกวันนี้ให้มีผลวันพรุ่งนี้ไหมล่ะครับ จากกันด้วยดีจะดีกว่าทำแบบนี้ไหมล่ะ ใจเขา-ใจเราครับ)

3.      เมื่อสัญญาจ้างครบกำหนดระยะเวลาตามเงื่อนไขในมาตรา 118  เช่น บริษัท BBB ทำสัญญาจ้างพนักงานเข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีลักษณะงานที่จ้างเป็นไปตามมาตรา118 เช่นไม่ใช่ธุรกิจปกติของนายจ้าง

เมื่อพนักงานทำงานไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 พอวันรุ่งขึ้น (1 กันยายน 2567) ก็ไม่ต้องมาทำงานกับบริษัทอีก โดยที่บริษัทก็ไม่ต้องแจ้งเลิกจ้าง และนายสัมฤทธิ์ก็ไม่ต้องเขียนใบลาออก เพราะการจ้างงานนี้จะสิ้นสุดไปโดยสัญญาจ้างที่ระบุระยะเวลาไว้ดังกล่าว

            อย่างนี้ถือว่าการจ้างงานนี้สิ้นสุดลงด้วยสัญญาที่มีระยะเวลาที่ชัดเจนแน่นอนครับ!

             แต่ปัญหาของการเลิกจ้างนั้นมักจะเกิดจากข้อ 1 เป็นหลักเสียมากกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลิกจ้างแบบไม่มีเหตุผล หรือไม่มีปีมีขลุ่ย

            หรือไม่ได้มีการแจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้า เรียกว่าวันร้ายคืนร้ายก็เรียกพนักงานมารับหนังสือเลิกจ้างแล้วให้เก็บของไปเลยแบบปุ๊บปั๊บรับเคราะห์

            หรือเช้าวันรุ่งขึ้นพนักงานอาจจะมาทำงานตามปกติแต่พอมาถึงหน้าโรงงานก็พบประกาศ “ปิดโรงงาน” อะไรทำนองนี้เสียมากกว่า

                ซึ่งหากนายจ้างหรือบริษัททำแบบนี้ก็จะทำให้ลูกจ้างหรือพนักงาน “ช็อค” ได้ง่าย ๆ จริงไหมครับ โธ่ ก็ไม่มีการบอกกล่าวให้รู้ตัวกันล่วงหน้าเพื่อทำจิตทำใจกันเลยจะให้เขายิ้มอยู่ได้ยังไงล่ะครับ เพราะแต่ละคนก็มีภาระที่จะต้องส่งเสียเลี้ยงดู หรือมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ กันทั้งนั้นนี่ครับ !

               แล้วถ้านายจ้างเลิกจ้างพนักงานโดยที่พนักงานไม่มีความผิดล่ะ ?

             ในกรณีที่นายจ้างหรือบริษัทเลิกจ้างพนักงานที่ไม่ได้กระทำความผิดนั้น ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานได้คุ้มครองลูกจ้างไว้ตามมาตรา 118 (ไปหาอ่านได้ในกฎหมายแรงงานนะครับ) ขึ้นอยู่กับว่าลูกจ้างทำงานกับบริษัทมากี่ปี ซึ่งสูงสุดคือได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน สำหรับลูกจ้างที่ทำงานมาตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป

            กรณีไหนบ้างที่นายจ้างเลิกจ้างแล้วไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามมาตรา 118?

             ก็กรณีที่ลูกจ้างหรือพนักงานกระทำความผิดร้ายแรงเข้าข่ายมาตรา 119 ของกฎหมายแรงงาน

             จากที่ผมแชร์มาทั้งหมดนี้ก็อยากจะให้เห็นว่าการบอกเลิกสัญญาจ้างนั้นจะเกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่าจะเป็นการบอกเลิกจากฝั่งนายจ้างหรือฝั่งลูกจ้างก็ตาม เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาจ้างซึ่งกันและกันได้เสมอ

            จึงไม่ควรหลงไปยึดติดว่าฉันอยู่กับบริษัทที่มั่นคงแล้วฉันจะมั่นคงตามบริษัทไปด้วย

             แต่ความมั่นคงที่แท้จริงอยู่กับตัวของแต่ละคนที่จะต้องสร้างคุณค่าสั่งสมความรู้ความสามารถพัฒนาตัวเองให้คนอื่น (หรือองค์กรใดก็ตาม) เห็นคุณค่าในตัวของเรามากกว่าการเอาตัวเราไปผูกอยู่กับความมั่นคงขององค์กรโดยไม่พัฒนาคุณค่าในตัวเราให้เพิ่มขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านไป

เพราะ “คนที่จำเป็น” คือคนที่องค์กรยังต้องการอยู่เสมอ

            แต่ “คนไม่จำเป็น” สำหรับองค์กรก็มักเป็นคนที่ถูกเลิกจ้างและต้องเดินจากไปในที่สุดแหละครับ

              ในทางกลับกัน “คนที่จำเป็น” ก็จะเป็นฝ่ายเลือกได้ว่าจะอยู่ที่เดิมหรือจะไปที่ใหม่ที่เขายื่นข้อเสนอดี ๆ มาให้ได้เหมือนกันนะครับ

…………………………..