ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องลูกน้องมาสายทำไงดีไปแล้ว ก็เลยคิดไปถึงอดีตที่ครั้งหนึ่งผมเคยไปทำงานเป็นผู้บริหารงาน HR ที่บริษัทแห่งหนึ่ง (เพิ่งเข้าไปทำงานประมาณ 1 เดือน) เขามีข้อบังคับเกี่ยวกับเวลามาทำงานที่เขียนไว้นานหลายปีแล้วว่า
เวลาทำงานปกติคือ
8.30-17.30 น. แล้วก็มีเงื่อนไขข้างใต้เวลานี้เอาไว้ว่าให้เป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะอนุญาตให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าทำงานไม่เกิน
8.45 น.
การเขียนกฎเกณฑ์กติกาแบบนี้แหละครับทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาซึ่งผมก็ไม่รู้นะครับว่าคนเขียนข้อบังคับในเรื่องนี้ได้คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อมาหรือเปล่า
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดก่อนที่ผมจะเข้ามาทำงานที่บริษัทแห่งนี้คือ
1.
พนักงานรับรู้และเข้าใจต่อ ๆ
กันมาว่าเวลาเริ่มงานคือ 8.45 น.
2.
หัวหน้าที่เข้มงวดกับเรื่องเวลามาทำงานก็จะเรียกลูกน้องที่มาเข้างานเกิน
8.30 น.มาตักเตือนทั้งเป็นวาจา หรือลายลักษณ์อักษรว่ามาทำงานสาย
3.
วันไหนหัวหน้าที่เข้มงวดอารมณ์ดีก็อาจยืดหยุ่นเวลามาทำงานให้เป็น
8.45 น.แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็ยึดเวลา 8.30 น. เพราะตามระเบียบบอกไว้ว่า “ให้เป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชา”
4.
หัวหน้าที่เป็นตุ๊กตาหมีใจดีกับน้อง ๆ ก็จะอะลุ่มอล่วยโดยถือว่าเวลาทำงานปกติคือ
8.45 น.
5.
พนักงานเกิดการเปรียบเทียบกันระหว่างหน่วยงานและเกิดความคับข้องใจว่าทำไมหน่วยงานนี้เข้าทำงานได้ไม่เกิน
8.45 น.แต่ทำไมหน่วยงานเราถึงต้องเข้าทำงาน 8.30 น. อยู่บริษัทเดียวกันลักษณะงานคล้ายกันทำไมถึงมีสองมาตรฐานล่ะ
พอผมเข้ามาเป็นผู้บริหารงาน
HR
ในบริษัทแห่งนี้ก็มีพนักงานมาระบายความรู้สึกและถามผมว่าความเห็นของ
HR ว่าไงในเรื่องนี้ ?
ผมก็เลยต้องขอเวลาพบ
MD แล้วก็เล่าเรื่องเหล่านี้ให้แกฟัง พร้อมทั้งบอก MD ว่าพี่คงต้องเลือกเอาแหละว่าต้องการให้พนักงานมาเข้างานกี่โมง
8.30 หรือ 8.45 น.ก็ได้ผมไม่มีปัญหา
แต่ขอเป็นเวลาเดียวไม่ควรยืดหยุ่นเวลาให้มันเกิดปัญหาแบบนี้
การทำงานเกี่ยวกับคนในเรื่องที่เป็น
Common
Factor แบบนี้ควรยึดหลักเกณฑ์มากกว่าหลักกู (หรือหลักดุลพินิจ) เพราะคนจะคิดเรื่องของ
Me too (กูด้วย) อยู่เสมอ
แถมดุลพินิจของคนแต่ละคนก็แตกต่างกัน
เผลอ ๆ
ดุลพินิจของคนเดียวกันยังต่างกันได้ตามอารมณ์และสถานการณ์เลยครับ
เรื่องที่เป็นความสงบเรียบร้อยที่ควรจะต้องปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกันในองค์กรเช่นเวลามาทำงานจึงควรจะมีหลักปฏิบัติแบบเดียวกันเพื่อลดปัญหาหลักกูและ
Me
too
เว้นแต่ถ้าลักษณะงานของหน่วยงานไหนไม่สนใจเรื่องการลงเวลามาทำงาน
เช่น
พนักงานขายที่บริษัทสนใจเฉพาะเรื่องยอดขายเป็นหลักและขายให้ได้ตามเป้าที่กำหนดก็ไม่ต้องลงเวลามาทำงานทั้งเข้าและออกเพื่อให้เกิดความสะดวกในการออกไปหาลูกค้า
ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่มีปัญหาครับ
ถ้าใครไม่อยากจะลงเวลามาทำงานก็ขอย้ายมาเป็นพนักงานขายและต้องขายให้ได้ตามเป้าตามยอดที่กำหนดด้วยนะครับ
บริษัทมีค่าคอมมิชชั่นให้อีกต่างหาก
แต่ถ้าพนักงานขายไม่อยากขายแล้วอยากจะมาทำงาน
Back
Office ก็ต้องกลับมาลงเวลามาทำงานเหมือนพนักงานคนอื่น ๆ เช่นเดียวกัน
สรุปเรื่องนี้ MD แกก็สั่งให้กลับมาเริ่มงาน
8.30 น.เหมือนเดิม ปัญหาหลักกูและ Me too ก็หมดไป
เคสที่เล่าสู่กันฟังมานี้คงเป็นอุทาหรณ์และข้อคิดเตือนใจที่ดีสำหรับ
HR ทุกท่านสำหรับการออกกฎเกณฑ์กติกาที่จะใช้กับผู้คนในองค์กรต่อไปนะครับ