ผมว่าปัญหาที่จั่วหัวมาข้างต้นนี้คงจะเกิดกับหัวหน้างานหลาย ๆ คนใช่ไหมครับ ?
ก่อนอื่นเราลองมาทำความเข้าใจกันในเรื่องของโอทีกันก่อนดีไหม
1.
โดยเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้วไม่ต้องการให้ลูกจ้างทำโอทีโดยไม่จำเป็นนะครับลองดูตามมาตรา
24 ตามนี้
“มาตรา ๒๔
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน
เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราวๆ ไป
ในกรณีที่ลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไปถ้าหยุดจะเสียหายแก่งาน
หรือเป็นงานฉุกเฉิน หรือเป็นงานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้เท่าที่จำเป็น”
เห็นไหมครับว่าในวรรคแรกของมาตรานี้ก็บอกเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า
“ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา
เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไป”
ซึ่งการที่ลูกจ้างยินยอมทำโอทีก็มักจะต้องมีการทำใบขออนุมัติทำโอทีโดยลูกน้องทำมาแล้วส่งให้หัวหน้าอนุมัติเสียก่อน
ดังนั้น
ถ้าลูกจ้างไม่อยากทำโอทีก็ย่อมจะปฏิเสธได้นะครับ เว้นแต่จะมีลักษณะงานเป็นไปตามวรรคสองของมาตรานี้คือ
ถ้าลักษณะของงานนั้นจำเป็นต้องทำติดต่อกันไปถ้าหยุดจะเสียหาย หรือเป็นงานฉุกเฉิน
หรือเป็นงานตามที่กำหนดในกฎกระทรวงเช่นงานโรงแรม สถานมหรสพ งานขนส่ง ร้านอาหาร
สโมสร สมาคม สถานพยาบาล ที่นายจ้างอาจสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้เท่าที่จำเป็น
ถ้าเป็นสมัยก่อนลูกจ้างก็มักอยากจะทำโอทีแหละเพราะจะได้เงินค่าโอ(ที)
เป็นรายได้เพิ่มขึ้นอยู่แล้วแหละครับ
แต่พอดียุคนี้การขายของออนไลน์มาแรงและอาจได้เงินมากกว่าการเสียเวลามาทำโอทีก็เลยทำให้พนักงานไม่ค่อยอยากจะทำโอทีครับ
2. การคำนวณค่าโอทีก็ต้องเป็นไปตามมาตรา
61-63 (ไปหาอ่านในกฎหมายแรงงานเพิ่มเติมนะครับ)
3. เมื่อทำโอทีไปแล้วบริษัทก็ต้องจ่ายค่าโอทีไม่น้อยกว่าเดือนละ
1
ครั้งตามมาตรา 70
4. การทำโอทีต้องไม่เกิน
36
ชั่วโมงต่อสัปดาห์
พอรู้หลักเบื้องต้นอย่างงี้แล้ว
ถามว่าถ้าทำโอทีแล้วได้เงินเพิ่มแต่ทำไมลูกน้องถึงไม่ยอมทำโอทีล่ะ ?
ผมก็เลยขอรวบรวมสาเหตุที่ลูกน้องไม่ทำโอทีมาดังนี้ครับ
1. ไม่มีระเบียบปฏิบัติการทำโอทีที่ชัดเจน
แต่ใช้วิธีปฏิบัติแบบเคยทำมายังไงก็ทำไปอย่างงั้น
การอนุมัติว่าจะให้ค่าโอทีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้บริหารว่าอยากจะให้หรือไม่ให้
หลายครั้งที่ลูกน้องทำ “โอฟรี” แต่ไม่ได้ค่า “โอที”
โดยหัวหน้าอ้างว่าเป็นงานที่ต้องรับผิดชอบต่อเนื่อง
2. หัวหน้ามาบอกให้ทำโอทีกระทันหันเกินไป
ลูกน้องมีธุระสำคัญก็เลยทำไม่ได้
3. ลูกน้องไม่ได้อยากได้เงินเพิ่มแต่อยากเอาเวลาไปสังสรรค์กับเพื่อน
ออกกำลังกาย หรือให้เวลากับครอบครัวมากกว่า
4. ลูกน้องเรียนต่อภาคค่ำก็เลยทำโอทีไม่ได้
ไหนจะติดเรียนติดสอบ
5. มีงานหารายได้พิเศษตอนค่ำ
เช่น ไปร้องเพลงในห้องอาหาร, เป็นตัวแทนขายตรง, ขายประกันชีวิต, ขายของออนไลน์ต้องไปไลฟ์สด,
ขายของตลาดนัด ฯลฯ ซึ่งงานเหล่านี้ถ้าได้เงินมากกว่าเงินที่ได้จากโอที
พนักงานก็ต้องเลือกงานที่ได้เงินมากกว่าอยู่แล้วจริงไหมครับ
6. ไม่มี
“ใจ” ให้กับหัวหน้า คือหัวหน้าปกครองดูแลลูกน้องโดยใช้พระเดชใช้อำนาจเป็นประจำ แต่ไม่เคยมีพระคุณกับลูกน้อง
หรือหัวหน้าไม่เป็นตัวอย่างที่ดีที่ทำให้ลูกน้องเลื่อมใสศรัทธา อารมณ์ร้าย
โวยวายเป็นประจำ ทำผิดพลาดก็ด่าอย่างเดียว ฯลฯ
7. ไม่พูดจากับลูกน้องกันดี
ๆ บอกให้เขาเข้าใจว่างานที่ต้องให้ทำโอทีน่ะมันเร่งด่วนหรือสำคัญแค่ไหนยังไง แต่ชอบใช้วิธีสั่งแบบบังคับว่าให้ทำก็ต้องทำ
ถ้าลูกน้องไม่ทำก็จะมีการลงโทษประเภทเชือดไก่ให้ลิง (ลูกน้องคนอื่น) ดูไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
8. ให้โอทีไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดตามมาตรา
61-63 บางแห่งให้โอทีแบบเหมาจ่าย แถมอัตราก็ต่ำกว่าที่กฎหมายแรงงานกำหนด
เช่นใครจะเงินเดือนเท่าไหร่ก็ให้ค่าโอทีชั่วโมงละ 150 บาทเท่ากันทั้งหมด
หรือหลายบริษัทก็ไม่ใช้ “ค่าจ้าง” มาเป็นฐานในคำนวณโอที ใช้เพียง “เงินเดือน”
เท่านั้น (ต้องไปดูกันเอาเองว่า “ค่าจ้าง” ของบริษัทมีอะไรบ้างตามมาตรา 5 ของกฎหมายแรงงาน) ก็จะทำให้พนักงานได้รับค่าโอทีต่ำกว่าที่คำนวณตามกฎหมายแรงงานก็เลยไม่อยากทำเพราะรู้สึกว่าบริษัทเอาเปรียบ
9. ทำโอทีกว่าจะเสร็จก็เลยเที่ยงคืน
ลูกน้องต้องเรียกแท็กซี่กลับบ้านก็ไม่มีค่าแท็กซี่ให้ ทำให้ลูกน้องต้องควักกระเป๋าตัวเองเอามาจ่ายค่าแท็กซี่เข้าเนื้อตัวเองซะอีก
เรียกว่าถ้าใครบ้านอยู่ไกลก็ทำโอทีมาจ่ายเป็นค่าแท๊กซี่กลับบ้านแหละครับ
10. ฯลฯ
ดังนั้นหัวหน้าคงต้องย้อนกลับมาทบทวนใหม่ให้ดีว่างานที่สั่งให้ลูกน้องทำโอทีน่ะมันจำเป็น
เร่งด่วน และสำคัญจริงหรือไม่ มีการจ่ายโอทีให้เขาหรือเปล่า และการจ่ายโอทีของบริษัทเป็นไปตามที่กฎหมายแรงงานกำหนดหรือไม่
เพื่อลดปัญหาเหล่านี้ลงครับ