วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560

กลับดึกคือทุ่มเท..ค่านิยมที่ควรเปลี่ยนแปลงได้แล้วหรือยัง?

            ผมเคยเขียนเรื่องทำนองนี้ไปแล้วแต่จนถึงวันนี้ก็ยังมีค่านิยมทำนองนี้อยู่ในหัวหน้างานหรือผู้บริหารในบริษัทต่าง ๆ อยู่

            ตัวพิสูจน์ว่าค่านิยมประเภทนี้ยังมีอยู่ก็คือ ผมยังยังเห็นการโพสเรื่องเหล่านี้ในเว็บไซด์ชื่อดังหลาย ๆ แห่ง โดยคนที่เป็นลูกน้องจะโพสกระทู้แสดงความข้องใจว่าทำไมหัวหน้าชอบให้กลับดึกโดยไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นอยู่เป็นประจำโดยไม่ให้โอที แต่บอกลูกน้องว่านี่คือความรับผิดชอบ นี่คือความทุ่มเทอุทิศตนให้กับงาน

            แถมถ้าใครกลับบ้านเร็ว (เช่นถ้าเลิกงานห้าโมงเย็นแล้วกลับบ้านประมาณหกโมงเย็นเป็นประจำ) ก็จะถูกหัวหน้าประเมินผลการปฏิบัติงานว่าเป็นคนไม่ทุ่มเท ไม่อุทิศตนให้กับงาน ฯลฯ แล้วความประพฤติอย่างนี้ก็จะไปมีผลลบกับการขึ้นเงินเดือนประจำปีและโบนัสไปด้วย

เพราะถือว่าเป็นคน “กินแรงเพื่อน” เนื่องจากเพื่อน ๆ กลับกันดึก ๆ ดื่น ๆ ก็แสดงว่าเพื่อน ๆ เขาทำงานมากกว่าอุทิศตัวให้กับงานมากกว่าก็ควรจะให้โบนัสมากกว่าคนที่กลับบ้านเร็ว !!??

            มันก็เลยเกิดดราม่าขึ้นมาว่า....

          จริงหรือที่คนกลับบ้านดึกคือคนทุ่มเท และจะทำให้ได้ผลงานมากขึ้นดีขึ้น ?

            ผมเองก็เคยเจอหัวหน้าที่มีค่านิยมทำนองนี้มาแล้ว และผมก็เชื่อว่าท่านก็อาจจะเคยเจอหัวหน้าที่มีค่านิยมแบบนี้มาเหมือนกัน แต่ในวันที่เราเป็นลูกน้องเราอาจจะทำอะไรไม่ได้มากนัก แต่พอวันที่เราเป็นหัวหน้าขึ้นมาบ้างลองกลับมาคิดทบทวนหาเหตุผลในเรื่องนี้ด้วยการตอบคำถามเหล่านี้กันอีกสักครั้งจะดีไหมครับ ลองทบทวนดูว่า....

1.        งานที่ลูกน้องจะต้องทำคืองานอะไร งานนั้นมีความสำคัญและเร่งด่วนมากน้อยขนาดไหนถึงจำเป็นจะต้องทำหลังเวลางาน (นี่ยังไม่รวมว่าถ้าตอบว่าเป็นงานเร่งด่วน สำคัญถ้าไม่ทำจะเกิดความเสียหายบริษัทก็จะต้องจ่ายโอทีให้ลูกน้องอีกด้วยนะครับ)

2.        งานตามข้อ 1 เกิดขึ้นเป็นประจำเลยหรือไม่ หมายถึงลูกน้องจำเป็นจะต้องอยู่ดึก ๆ เพื่อทำงานงานนั้นทุก ๆ วัน ทุกเดือนและตลอดทั้งปีก็ยังต้องกลับดึกเพื่อทำงานที่ว่านี้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็แปลว่าบริษัทจะต้องมาจ่ายโอทีให้พนักงานทุกวันทุกเดือนเลยหรือครับ หรือบริษัทมีนโยบายทำโอทีให้เป็นรายได้ให้กับพนักงานกันแน่ หรือเนื่องจากบริษัทให้เงินเดือนพนักงานน้อยเลยต้องเอาโอทีมาเป็นตัวโปะเข้าไปให้พนักงานเห็นว่ามีรายได้เพิ่มขึ้นจากการทำโอที (ซึ่งเรื่องแบบนี้ผมเคยเขียนอธิบายไปแล้วคือ “การทำโอทีให้เป็นรายได้..นโยบายที่ควรทบทวน” ลองไปหาอ่านเพิ่มเติมนะครับ) ซึ่งหัวหน้าควรจะต้องมาหาสาเหตุในเรื่องนี้กันให้ชัดเจนว่าทำไมถึงต้องให้ลูกน้องทำงานกลับดึกอย่างนี้ทุกวันทุกเดือนทุกปี

3.        แต่ถ้าตอบคำถามว่าทำไมต้องให้ลูกน้องอยู่ทำงานดึก ๆ ว่าเพราะงานมันด่วน งานมีปริมาณมาก ต้องเสร็จทันเวลา ฯลฯ ก็ควรจะต้องย้อนกลับมาดูว่าอัตรากำลังคนที่รับผิดชอบน้อยเกินไปหรือไม่ก็เลยทำให้งานโหลดมาก ซึ่งการแก้ปัญหาด้วยการให้พนักงานรับโหลดงานมาก ๆ เหล่านั้นตลอดทั้งปีหรือหลาย ๆ ปีติดต่อกันก็คงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแล้วล่ะครับ เพราะในระยะยาวก็จะทำให้พนักงานอ่อนล้า เครียด หมดกำลังใจและลาออกไปในที่สุด เรื่องนี้ควรจะต้องมาพูดคุยกันในฝ่ายบริหารเพื่อแก้ปัญหากันที่ต้นเหตุจะดีกว่าไหม

4.        ลักษณะของงานตามข้อ 3 ในบางองค์กรอาจจะบอกว่าบริษัทก็ให้โอที สิ้นปีก็ให้โบนัส ก็จริงอยู่ แต่อย่าลืมว่าคนไม่ใช่เครื่องจักรนะครับ ในระยะยาวจะทำให้สุขภาพของพนักงานทรุดโทรมเพราะโหมงานหนักมาหลาย ๆ ปีติดต่อกัน ค่ารักษาพยาบาลของบริษัทก็จะเพิ่มขึ้น การเกิดอุบัติเหตุในการทำงานก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นเพราะความอ่อนล้า ในอนาคตองค์กรก็จะมีแต่ผู้บริหารและพนักงานที่มีสุขภาพเสื่อมโทรมหรือไม่ บริษัทกำลังมองสั้นไม่มองยาวหรือเปล่า? นี่ยังไม่พูดถึงค่าใช้จ่ายของบริษัทที่เพิ่มขึ้นเพราะเกิดจากการทำงานเกินเวลาที่สูญเปล่า เช่น ค่าน้ำประปา, ค่าไฟฟ้า, ค่าวัสดุสิ้นเปลือง ฯลฯ

5.        ตามกฎหมายแรงงานกำหนดให้เวลาการทำงานคือ 8 ชั่วโมงต่อวันเพราะต้องการให้ลูกจ้างมีเวลาเพื่อพักผ่อนบ้าง มีเวลาดูแลครอบครัว หรือทำกิจกรรมอื่นเพื่อผ่อนคลายความเคร่งเครียดจากการทำงาน ฯลฯ ซึ่งในสมัยก่อนหัวหน้ายุค Baby boomers หรือ Gen X อาจจะใช้อำนาจความเป็นหัวหน้าสั่งลูกน้องให้ทำงานดึก ๆ ดื่น ๆ แถมไม่ให้โอทีโดยอ้างว่าเป็นงานที่ต้องรับผิดชอบต่อเนื่องลูกน้องก็ไม่กล้าหือเพราะเป็นยุค “คนง้องาน” ถ้าขัดคำสั่งก็กลัวถูกไล่ออกและหางานยาก แต่ในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไปเยอะแล้วนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้กลายเป็นยุค “งานง้อคน” ยุคของ Gen Y ลูกจ้างมีทางเลือกมีช่องทางและมีโอกาสทำมาหากินมากกว่าเดิมโดยเฉพาะสื่อโซเชียลเอย Start up เอย ฯลฯ คนรุ่นใหม่ที่อยากจะมาเป็นลูกจ้างมีน้อยลงไปกว่ายุคเก่า ทำให้บริษัทหาคนยากกว่าเดิมจึงควรกลับมาคิดทบทวนดูว่าเราจะยังคงเป็นหัวหน้าที่หลงยุคเพราะค่านิยมแบบเดิม ๆ อยู่หรือเปล่า
6.        ผู้บริหารบางคนมีพฤติกรรมที่แปลกกว่านั้นคือมักจะเรียกประชุมลูกน้องหลังเลิกงานสักประมาณห้าโมงเย็นไปจนถึงทุ่มเศษ ๆ อยู่บ่อย ๆ โดยอ้างว่าระหว่างวันงานยุ่งไม่มีเวลาประชุม ทั้ง ๆ ที่เนื้อหาสาระ (Agenda) ในการประชุมก็ไม่มีอะไร หลายครั้งเป็นการประชุมแบบนโนสาเร่ไม่มีข้อสรุปเป็นการพูดจาสัพเพเหระทั่วไป ระหว่างชั่วโมงทำงานลูกน้องก็เห็นอยู่ว่าหัวหน้าก็ไม่ได้มีงานยุ่งอะไรอย่างที่อ้าง แถมหัวหน้าออกไปกินข้าวกลางวันกับเพื่อนตอนเที่ยงแต่เข้ามาตอนบ่ายสองบ่ายสามโมงอีกต่างหาก ทำเอาลูกน้องมักจะเอาไปเม้าท์กันว่า “พี่เขาจะประชุมไปเพื่อ.....” ซึ่งคำถามนี้หัวหน้าควรจะตอบว่า.....อะไรดีครับ?

            ที่ผมเขียนมาเพื่อให้หัวหน้าหาคำตอบให้กับตัวเองข้างต้นนี้ ไม่ได้แปลว่าผมส่งเสริมให้ทุกคนรักษาสิทธิอย่างเคร่งครัด เช่น พอถึงเวลาห้าโมงเย็นเลิกงานทุกคนก็รีบกระโดดไปรูดบัตรเพื่อเลิกงานกันเป๊ะทันทีนะครับ ไม่ใช่อย่างงั้น

            แต่ผมอยากจะให้หัวหน้าหรือผู้บริหารได้ข้อคิดและทำอะไรที่มีเหตุผลที่จะตอบคำถามของลูกน้องได้อย่างฟังขึ้น เช่น งานมันจำเป็นเร่งด่วน ฉุกเฉิน ถ้าไม่อยู่ดึก ๆ ทำแล้วจะเกิดความเสียหายให้กับหน่วยงานหรือจะทำให้บริษัทเสียหาย เป็นต้น

แต่งานด่วน ๆ ทำนองนี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้นทุก ๆ วัน ทุก ๆ เดือน หรือตลอดทั้งปีก็มีแต่เรื่องด่วนจริงไหมครับ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ก็แสดงว่าระบบงานของหน่วยงานนั้น ๆ น่าจะมีปัญหาและควรจะต้องหาทางแก้ปัญหานี้แล้วล่ะครับ

            “เราเลือกหัวหน้าที่ดีสำหรับเราไม่ได้..แต่เราเลือกเป็นหัวหน้าที่ดีสำหรับลูกน้องได้เสมอ” เราอาจจะได้พบเจอกับหัวหน้าที่มีค่านิยมแบบนี้และอยากจะเห็นลูกน้องกลับบ้านดึกโดยไม่มีเหตุผลแต่เราก็จำใจต้องทำตามที่หัวหน้าอยากจะเห็นอย่างนั้นเพราะเราอาจจะไปเปลี่ยนแปลงทัศนคติความคิดของหัวหน้าเราไม่ได้ตราบใดที่เรายังเป็นลูกน้องของหัวหน้าประเภทนี้

แต่พอวันที่เราเป็นหัวหน้าเป็นผู้บริหารขึ้นมาบ้างตัวของเราเองก็ควรจะเลือกที่จะคิดทบทวนและตัดสินใจได้นะครับว่าเราจะบริหารลูกน้องด้วยความไม่มีเหตุผลอย่างที่เราเจอมาหรือไม่ เราจะเลือกเป็นหัวหน้าที่ดีและมีเหตุผลกับลูกน้องหรือไม่

และผมหวังว่าท่านที่เป็นหัวหน้าผู้บริหารในยุคใหม่จะเป็นหัวหน้าที่ดีและลดค่านิยมในเรื่องการให้ลูกน้องกลับดึกแบบไม่มีเหตุผลกันบ้างแล้วนะครับ


…………………………………………………