วันอังคารที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2566

ขึ้นเงินเดือนประจำปีให้หัวหน้าน้อยกว่าลูกน้อง..ได้ด้วยเหรอ ?

             เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของบาดใจให้เท่าไหร่ก็ไม่ถึงใจคนรับนี่มักจะมีดราม่ากันได้เสมอ ๆ เลยนะครับ

            เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะเอามาเล่าสู่กันฟังเพื่อชวนให้คิด

            บริษัทที่ขึ้นเงินเดือนประจำปีด้วยระบบเปอร์เซ็นต์ก็มักจะคิดงบประมาณขึ้นเงินเดือนโดยจะมีงบประมาณรวมทั้งบริษัทมาจากฐานเงินเดือนของพนักงานทั้งบริษัท (Total Payroll) คูณด้วยเปอร์เซ็นต์ขึ้นเงินเดือนประจำปีที่ได้รับอนุมัติจากบอร์ด

            งบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีของแต่ละฝ่ายก็จะคำนวณมาให้ลักษณะเดียวกันคือใช้เงินเดือนรวมของพนักงานในหน่วยงานนั้นคูณด้วยเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนประจำปี

            ผมยกตัวอย่างให้ดูง่าย ๆ เช่น สมมุติว่าบอร์ดอนุมัติงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีมา 5%

            Total Payroll ทั้งบริษัท = 1 ล้านบาท ดังนั้นงบประมาณขึ้นเงินเดือนของทั้งบริษัทคือ 50,000 บาท (1.0 ล้านบาทx5%)

            สมมุติฝ่ายผลิตมีเงินเดือนพนักงานในฝ่ายผลิตรวม 500,000 บาท งบประมาณขึ้นเงินเดือนของพนักงานในฝ่ายผลิตคือ 25,000 บาท

            พูดง่าย ๆ ว่าเปอร์เซ็นต์ขึ้นเงินเดือนก็จะแปรไปตามฐานเงินเดือนของพนักงานแต่ละคน          

            สมมุติบริษัทแห่งนี้มีหลักเกณฑ์การขึ้นเงินเดือนแบบปกติคือ

ผลการประเมินเกรด A=10% B=8% C=5% D=3% E=0%

            สมมุติผู้จัดการแผนกผลิตเงินเดือน 40,000 บาท และพนักงานฝ่ายผลิตเงินเดือน 20,000 บาท ต่างก็ได้รับการประเมินผลงานในเกรด C เหมือนกัน

            แน่นอนว่าผู้จัดการแผนกผลิตก็จะได้รับการขึ้นเงินเดือน = 40,000x5%=2,000 บาท

            พนักงานฝ่ายผลิตจะได้รับการขึ้นเงินเดือน = 20,000x5%=1,000 บาท

            ตรงนี้แหละครับเป็นที่มาของฐานความคิดของฝ่ายบริหารบางบริษัทที่เห็นว่าบริษัทควรขึ้นเงินเดือนให้หัวหน้าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่าลูกน้องด้วยเหตุผลที่ว่าฐานเงินเดือนของหัวหน้าสูงกว่าลูกน้อง ก็เลยต้องเสียสละเอาเปอร์เซ็นต์ขึ้นเงินเดือนของหัวหน้าไปแบ่งปันให้ลูกน้อง จะได้จูงใจลูกน้องให้ขยันทำงานและอยู่กับบริษัทไปนาน ๆ

            บริษัทก็เลยกำหนดเปอร์เซ็นต์ขึ้นเงินเดือนประจำปีตามผลงานเสียใหม่ตามตัวอย่างนี้

ระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไป : A=8% B=6% C=3% D=1% E=0%

ระดับต่ำกว่าผู้จัดการแผนก : A=11% B=9% C=6% D=3% E=0%

            เมื่อเป็นอย่างนี้ผู้จัดการแผนกผลิตก็จะได้รับการขึ้นเงินเดือน = 40,000x3=1,200 บาทแทนที่จะได้ 2,000 บาท (เงินหายไป 800 บาท) และพนักงานฝ่ายผลิตก็จะได้รับการขึ้นเงินเดือน 20,000x6%=1,200 บาท (ได้เพิ่มขึ้น 200 บาท)

            จากตัวอย่างนี่ผมทำตุ๊กตามาให้ดูแค่ 2 ตำแหน่งในฝ่ายเดียวนะครับ ถ้าเป็นภาพรวมทั้งบริษัทล่ะ ผลกระทบจะออกมาเป็นยังไง

          แน่นอนว่าดราม่าก็มาบังเกิดเพราะจะมีคำถามจากผู้บริหารทุกระดับตั้งแต่ผู้จัดการแผนกขึ้นไปว่าเป็นความผิดของเขาหรือที่ฐานเงินเดือนสูง ?

            ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของหลักคิด แนวคิดของใครของมันแล้วแต่ว่าใครจะมองในมุมไหน

            ถ้ามองในมุมพนักงานก็จะเห็นด้วยกับนโยบายนี้แหละครับ เพราะตัวเองได้ผลประโยชน์มากขึ้นจากการนำงบประมาณของหัวหน้าที่ได้รับการขึ้นเงินเดือนน้อยลงมาแจกจ่ายให้กับตัวเอง

            แต่ถ้ามองในมุมของหัวหน้าก็จะต้องพูดเหมือนที่ผมบอกไปข้างต้นแหละครับว่า ทำไมเขาถึงได้รับการขึ้นเงินเดือนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่าลูกน้องเพียงเพราะฐานเงินเดือนเขาสูงกว่า

ก็บริษัทเป็นคนพิจารณาให้เขาดำรงตำแหน่งนี้ได้รับเงินเดือนที่เหมาะสมกับตำแหน่งและความรับผิดชอบที่สูงกว่าลูกน้องไม่ใช่หรือ แต่ทำอย่างนี้เหมือนกับถูกลงโทษจากบริษัทโดยตัดผลประโยชน์ที่ควรได้ไปซะงั้น ที่สำคัญคือเขาก็ยังต้องการเงินเดือนไปเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวเหมือนกัน ทำไมบริษัทถึงต้องบอกว่าเป็นหัวหน้าต้องเสียสละให้ลูกน้อง

          หลักการที่สำคัญเรื่องหนึ่งในการบริหารค่าจ้างเงินเดือนคือ “หลักความเสมอภาคและเป็นธรรม”

            นโยบายนี้จะมีความเสมอภาคและเป็นธรรมจริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ผู้บริหารจะต้องคิดให้รอบคอบด้วยเหตุด้วยผลให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจครับ