ตำแหน่งงานนี้อาจจะเรียกว่า
“เจ้าหน้าที่บริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการ”
หรือถ้าเป็นผู้บริหารขึ้นมาอีกสักหน่อยก็อาจจะเรียกชื่อตำแหน่งนี้ว่า
“ผู้จัดการแผนกบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการ” หรือ
“ผู้จัดการฝ่ายบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการ”
บางคนก็อาจจะเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า
“Com
& Ben” ก็หมายถึง Compensation and Benefits ก็คือคนดูแลด้านค่าจ้างเงินเดือนและสวัสดิการนั่นแหละครับ
ผมก็เลยขอเรียกรวม
ๆ ว่าเป็นนักบริหารค่าตอบแทนก็แล้วกัน
ซึ่งตำแหน่งงานนี้ก็จะเป็นตำแหน่งที่อยู่ในฝ่าย
HR ซึ่งมักจะมีในบริษัทใหญ่ ๆ
ที่เห็นความสำคัญของคนที่จะต้องมาดูแลและบริหารจัดการรับผิดชอบเรื่องค่าตอบแทนโดยตรง
แต่ในบริษัทเล็ก
ๆ หรือบริษัทที่ยังไม่เห็นความสำคัญของงานด้านนี้ก็มักจะยังไม่มีตำแหน่งงานนี้
และก็มักจะเหมา ๆ แบบรวม ๆ เข้าไปอยู่กับงาน Payroll ซึ่งเป็นลักษณะงานที่เป็นคนละอย่างกับงาน
Com & Ben เลยนะครับ
นักบริหารค่าตอบแทนควรมีคุณสมบัติยังไงบ้างล่ะ
?
ตอบตรง ๆ
แบบกำปั้นทุบดินก็คือคนที่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องการบริหารค่าตอบแทนน่ะสิครับ
ถ้าจะถามว่าแล้วเขา (หรือเธอ)
คนนี้จะต้องเรียนจบอะไรมาล่ะ ต้องมีไอคิวใกล้เคียงไอน์สไตน์ไหม ?
ก็ตอบได้ว่าไม่ต้องเลิศเลอขนาดนั้นหรอกครับ จะเรียนจบอะไรไม่สำคัญเท่ากับคนที่จะทำงานด้านนี้รักและสนใจงานด้านค่าตอบแทนหรือไม่
ถ้าสนใจงานด้านนี้และอยากจะทำและพร้อมจะพัฒนาตัวเองไปในงานด้านนี้ผมว่าสามารถทำได้ทุกคนแหละครับ
เพียงขอให้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. ไม่เป็นภูมิแพ้ตัวเลข
คือไม่ใช่ว่าพอเห็นตัวเลขเข้าหน่อยแล้วพาลจะวิงเวียน หรือเกิดอาการหน้ามืดตาลาย
ฯลฯ อย่างนี้ล่ะก็ทำงานด้านนี้ได้ยากแล้วล่ะครับ คือไม่จำเป็นต้องเก่งเลขขนาดทำแคลคูลัสได้แบบชิล
ๆ หรือถอดสมการยกกำลังสิบในใจได้ภายใน 3 วินาทีหรอกนะครับ
ขอเพียงแค่เป็นคนชอบตัวเลข ช่างสงสัย ชอบคิดเลข
สนุกกับการแก้ปัญหาหรือหาคำตอบจากโจทย์ต่าง ๆ
เอาเป็นว่าไม่เป็นคนไม่เกลียดไม่กลัวตัวเลขก็ใช้ได้แล้วล่ะ
2. ชอบการวิเคราะห์
นี่เป็นคุณสมบัติที่สำคัญและจำเป็นข้อถัดมา คือนอกจากเป็นคนที่ไม่เป็นภูมิแพ้เลขแล้วยังต้องเป็นคนชอบคิดเชิงวิเคราะห์
หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่าเป็นพวกที่ชอบคิดแบบ Analytical Thinking หรือมีวิธีคิดเชิงวิเคราะห์ได้อย่างเป็นระบบอย่างมีเหตุมีผลหรือเป็นพวกที่มี
“หลักเกณฑ์” ในการคิดเชิงวิเคราะห์อย่างเป็นระบบมากกว่าการใช้ “หลักกู”
พูดง่าย
ๆ ว่าต้องไม่ใช่คนที่เห็นตัวเลขแล้วก็จบแค่ตัวเลข
หรือใช้อารมณ์ความรู้สึกลอย
ๆ โดยไม่มีเหตุผลรองรับ!
แต่ต้องสามารถวิเคราะห์ต่อได้ว่าความหมายของตัวเลขนั้น
ๆ มันหมายถึงอะไร และจะเกิดผลอย่างไรต่อไป เช่น พอได้ผลลัพธ์ของโครงสร้างเงินเดือนออกมาว่าอัตราต่ำสุด
(Minimum)
อยู่ที่12,000 บาท และสูงสุด (Maximum)
อยู่ที่ 24,000 บาท
ก็ต้องสามารถวิเคราะห์ต่อไปได้เองว่าโครงสร้างแบบนี้จะมีผลกระทบอะไรบ้างกับพนักงานที่เงินเดือนต่ำ
หรือสูงกว่าโครงสร้างเงินเดือนนี้ และควรจะมีวิธีปฏิบัติอย่างไรเพื่อแก้ปัญหานี้
ฯลฯ
คือไม่ใช่ว่าพอได้ตัวเลขออกมาแล้วจบ
นักบริหารค่าตอบแทนจึงต้องเป็นคนที่ช่างคิดช่างวิเคราะห์ สามารถแยกแยะและตีความหมายจากตัวเลข
หรือค่าต่าง ๆ และเชื่อมโยงหาความสัมพันธ์ได้ด้วยครับ
3. ละเอียดรอบคอบ
อันนี้คงไม่ต้องอธิบายมากนะครับ เพราะถ้าทำงานด้านนี้ไม่ละเอียดรอบคอบแล้ว
จะเกิดความไม่น่าเชื่อถือจากทุก ๆ ฝ่ายทันที เช่น
พอทำโครงสร้างเงินเดือนเสร็จออกมา ปรากฏว่าทำตัวเลขผิดเนื่องจากความประมาทเผลอเรอ
หรือไม่ละเอียดรอบคอบ หรือใจร้อนรีบ ๆ ทำงานจนขาดการตรวจสอบที่ดี แถมพอไม่ละเอียดรอบคอบแล้วนำเสนอตัวเลขที่ผิดพลาดเข้าไปในที่ประชุมฝ่ายบริหารแล้วมาพบภายหลังว่าเกิดความผิดพลาด
ลองนึกภาพตามสิครับว่าฝ่ายบริหารเขาจะคิดกับเรายังไง
ผมว่าถ้าเป็นเป็นคนผิดพลาดบ่อย
ๆ แบบนี้ก็คงจะทำงานด้านนี้ได้ลำบากแล้วครับ
4. ความคิดสร้างสรรค์
ควรเป็นคนที่ชอบคิดสร้างสรรค์แบบไม่ติดกรอบน่ะครับ เพราะคำว่ามีความคิดสร้างสรรค์ก็หมายถึงคิดในสิ่งใหม่
ๆ ดี ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งทำให้เกิดผลดีขึ้นกว่าเดิม โดยที่ความคิดสร้างสรรค์นี้จะต้องไม่เป็นเรื่องที่ผิดกฎระเบียบ
หรือก่อให้เกิดความเสียหายนะครับ
5. ใฝ่เรียนรู้
นักบริหารค่าตอบแทนควรเป็นคนมีความรู้รอบตัวดี ดังนั้นควรจะต้องเป็นคนสนใจใฝ่เรียนรู้
ชอบดูหนัง ฟังข่าว แลกเปลี่ยนความรู้กับผู้รู้ เข้าอบรม สัมมนา หรือชอบอ่านหนังสือหลากหลายประเภท
ซึ่งความรู้รอบตัวเหล่านี้จะนำมาประยุกต์ใช้ในงานได้เสมอครับ
นักบริหารค่าตอบแทนจึงไม่ควรอ่านหนังสือพิมพ์เพียงหน้ากีฬา หรือหน้าบันเทิง
แต่ควรจะต้องอ่านให้หมดทุกด้าน เช่น เศรษฐกิจ, สังคม, การเมือง, เทคโนโลยี,
การเกษตร, เหตุการณ์ในต่างประเทศ ฯลฯ และต้องเป็นคนที่หูตาไว
เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ
ที่จะมีผลกระทบต่องานหรือเรื่องค่าตอบแทนก็ควรจะต้องนำกลับมาคิดวิเคราะห์ผลกระทบและเตรียมระวังป้องกัน
หรือนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาได้ทันสถานการณ์จากความใฝ่เรียนรู้นี่แหละครับ
6. ไม่กลัวปัญหาและกล้าตัดสินใจ
นักบริหารค่าตอบแทนต้องไม่ใช่คนหนีปัญหา หรือเป็นคนประเภทลอยตัว ไม่คิดแก้ปัญหา
หรือไม่กล้าตัดสินใจนะครับ เพราะเมื่อหลักเกณฑ์หรือหลักการต่าง ๆ
ผ่านการนั่งคิดคำนวณตัวเลข จากความละเอียดรอบคอบ
ผ่านการคิดเชิงวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผลรองรับแล้ว
ในที่สุดก็จะต้องนำมาสู่การตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหา แม้ว่าการตัดสินใจนั้น ๆ
อาจจะทำให้คนที่เสียประโยชน์ไม่พึงพอใจ แต่ถ้าเป็นการตัดสินใจที่ผ่านกระบวนการต่าง
ๆ อย่างที่ผมบอกมาแล้วบนหลักการเหตุและผลที่ชัดเจนแล้ว นักบริหารค่าตอบแทนก็ต้องกล้าตัดสินใจและประเมินผลภายหลังการตัดสินใจว่าจะต้องมีการปรับปรุงหรือแก้ไขอย่างไรต่อไปในอนาคต
ซึ่งนี่แหละครับจะเป็นประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้ในตำราเรียนเลยแหละ
7. ไม่เบื่อเรื่องการสื่อสาร
นักบริหารค่าตอบแทนต้องพร้อมที่จะไปเจรจาต้าอ่วยกับผู้คนทุกคน ไม่ว่าคน ๆ
นั้นจะเป็นพนักงานระดับล่างสุด
หรือจะเป็นผู้บริหารระดับสูงสุดในเรื่องของแนวคิดทฤษฎี
หรือการปฏิบัติด้านค่าตอบแทน
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันอย่างไม่มีอคติ
ดังนั้นการสื่อสารจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนที่ทำงานด้านนี้ครับ
เพราะถ้าเอาแต่ทำงานอยู่กับโต๊ะแถมไม่ชอบเจอผู้คนไม่ชอบอธิบายว่าสิ่งที่เราคิดและนำมาใช้ปฏิบัติ
(ในเรื่องค่าตอบแทน) นี้น่ะมันมีที่มาที่ไปยังไง มีข้อดีข้อเสียยังไง
ใครอยากรู้ก็ไปถามสาวยาคูลท์กันเอาเองก็เอวังน่ะสิครับ
คุณสมบัติทั้งหมดที่ผมเล่ามาข้างต้นไม่จำเป็นว่าจะต้องมีเต็มร้อยในทุกข้อนะครับขอให้มีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่บ้างในตัวแล้วก็ค่อยไปพัฒนาให้เพิ่มขึ้นในภายหลังก็ได้
แต่ถ้าองค์กรของท่านได้นักบริหารค่าตอบแทนที่มีคุณสมบัติเต็มร้อยในแต่ละข้อเหล่านี้แล้วก็ถือว่าโชคดีมาก ๆ เลยแหละครับ และรักษาเขาไว้ให้ดี ๆ อย่าให้ใครฉกตัวไปเสียล่ะ
ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะยังสงสัยต่อไปอีกว่า
“อ้าว..แล้วคุณสมบัติที่ต้องรู้ในเรื่องทฤษฎีหรือปฏิบัติในศาสตร์การบริหารค่าตอบแทนล่ะ
ไม่ต้องมีหรือ ?”
ตอบได้ว่าเรื่องของความรู้ในเชิงทฤษฎีหาไม่ยากหรอกครับ
มีตำรับตำราทั้งภาษาไทยและ Text book ของฝรั่งให้ศึกษาอยู่มากมายหลายหลาก
หรือแม้แต่หลักสูตรต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารค่าตอบแทนที่จัดโดยองค์กรหรือบริษัทจัดฝึกอบรมต่างๆ ก็มีอยู่ไม่น้อย
แต่ความเห็นส่วนตัวของผม
ๆ ว่าทฤษฎีให้เพียงแค่ความรู้เบื้องต้น
ประสบการณ์ในการลงมือทำจริงต่างหากที่จะให้ความรู้ความเข้าใจแบบ
How
to ในชีวิตจริงแบบรู้ลึกรู้จริง!
ประสบการณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับนักบริหารค่าตอบแทน
ต้องเล่นจริงเจ็บจริง
คลุกฝุ่นมาจริงๆ ถึงจะเชี่ยวชาญชำนาญ
ถ้าเราแค่อ่านหนังสือเราจะมีความรู้เพียงเท่าที่หนังสือบอกไว้
แต่ถ้าเราลงมือทำเราจะมีความรู้และทักษะจากประสบการณ์ที่ทำจริงมากกว่าในหนังสือแบบทวีคูณครับ
อยากจะบอกว่าในปัจจุบันค่าตัวของนักบริหารค่าตอบแทนที่มีความรู้และประสบการณ์โดยตรงในด้านนี้ในตลาดจะสูงไม่น้อยเลยนะครับ
เรียกว่า
“เนื้อหอม” ไม่เบาเลยเหมือนกัน
องค์กรที่เขาเห็นความสำคัญด้านนี้ก็มักจะแวะเวียนกันมาจีบนักบริหารค่าตอบแทนฝีมือดีไปร่วมงานแบบหัวกระไดไม่แห้งเลยนะครับ
เพราะ Staff Cost จะบวมหรือไม่
จะแก้ยังไงดีก็ขึ้นอยู่กันนักบริหารค่าตอบแทนที่จะช่วยดูแลและคอยส่งสัญญาณ
คนที่เข้ามาทำงานด้าน
HR ยุคใหม่ ๆ นี่น่ะ
ผมไม่ค่อยเห็นใครสนใจงานด้านการบริหารค่าตอบแทนกันสักเท่าไหร่นัก
ทั้งที่งานด้านนี้เป็นวิชาชีพด้าน HR ที่จะเป็นมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเองในระยะยาว
แต่ผมก็เห็นคนที่ทำ HR ยุคใหม่ยังชอบที่จะไปทำงานด้าน HRD
มากกว่า ก็เลยทำให้คนที่รู้และเข้าใจสามารถทำงานด้านการบริหารค่าตอบแทนมีน้อยลงไปเรื่อย
ๆ
ลองคิดดูสิครับว่าถ้าองค์กรของท่านจะจ้างบริษัทที่ปรึกษาเข้ามาทำโครงสร้างเงินเดือนให้น่ะ ก็จะมีค่าที่ปรึกษาอย่างน้อย ๆ ก็หกหลักขึ้นไป
แต่ถ้าองค์กรของท่านมีนักบริหารค่าตอบแทนที่สามารถทำโครงสร้างเงินเดือนเป็น
และบริหารจัดการได้ ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็ไม่ต้องเสียเพราะสามารถทำได้เองจริงไหมครับ?
นี่ยังไม่รวมว่าเมื่อโครงสร้างเงินเดือนทำไปถึงจุดหนึ่งในอนาคตจะต้องมีการ
Update
ปรับปรุงให้สามารถแข่งขันกับตลาดค่าตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้น
ถ้าทำเองไม่เป็นก็ต้องไปเสียเงินเพื่อจ้างที่ปรึกษาเข้ามา Update ให้อีก
ยิ่งถ้ามองยาว ๆ
ไปข้างหน้าแล้วองค์กรของท่านจะประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ Staff Cost ได้ไม่น้อยเลยนะครับ
ยังไม่ทันไรก็ประหยัดได้เห็น
ๆ อย่างนี้ท่านคิดว่าคุ้มไหมล่ะครับ ?