“มาทำงานสาย” คำสั้น ๆ
แต่เป็นปัญหาที่ทุกองค์กรมักจะพบเจออยู่บ่อย ๆ
ซึ่งบริษัทจำนวนไม่น้อยก็มักจะแก้ปัญหาการมาสายของพนักงานด้วยการ “ลงโทษ”
เสียเป็นหลักและเป็นวิธีเก่าแก่แบบเดิม ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการตัดเงินเดือนพนักงานที่มาสาย
ซึ่งในบางกรณีก็หักเงินเดือนพนักงานแบบผิดกฎหมายแรงงานอีกต่างหาก
บริษัทเคยติดตามผลไหมครับว่าเมื่อตัดค่ามาสายแล้วพนักงานยังมาสายอยู่เหมือนเดิมหรือไม่?
ประเด็นที่ผมจะนำมาชวนให้คิดในวันนี้ไม่ใช่เรื่องของการหาข้อสรุปว่าตกลงบริษัทจะหักเงินพนักงานมาสายดี
หรือจะใช้วิธีตัดเงินเดือนพนักงานเมื่อมาสายตามระเบียบดีนะครับ
แต่อยากจะให้ข้อคิดบางประการว่า....
บริษัทได้หาสาเหตุของการมาสายของพนักงานเจอแล้วหรือยัง?
เพราะการมุ่งไปที่การลงโทษเป็นหลักไม่น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ตัวต้นเหตุ
แต่กำลังแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเสียมากกว่า
แถมก็ไม่แน่ว่าจะแก้ปัญหาการมาสายได้จริงเสมอไปเพราะพนักงานที่ถูกตัดเงินเดือนก็จะบอกว่า
“บริษัทตัดเงินเดือนลงโทษฉันไปแล้วจะมาเอาอะไรกันอีกล่ะ”
เรามาดูกันไหมครับว่าสาเหตุของพนักงานที่มาสายเกิดจากอะไรกันบ้าง
1.
เกิดจากพฤติกรรมของพนักงานคนนั้น ๆ โดยตรง
เช่น เป็นคนนอนดึกมาก, ชอบเที่ยวเตร่กินเหล้าสังสรรค์ดึก ๆ ดื่น ๆ กับเพื่อนร่วมแก๊งค์ทุกคืน, มีอาชีพเสริมตอนกลางคืน ฯลฯ ก็เลยทำให้ตื่นเช้าไม่ได้ทำให้ต้องมาทำงานสาย
2.
ลูกน้องที่มาสายเป็นคนไม่รับผิดชอบงาน
ทำงานปัจจุบันให้เหมือนเป็นงานอดิเรกอยู่ศาลาพักร้อนไปวัน ๆ เพื่อรองานใหม่ไม่สนใจงานปัจจุบันก็เลยมาสาย
3.
บ้านอยู่ไกลจากบริษัทมาก รถติด
ทำให้ฝ่าการจราจรมาไม่ทันเวลางาน
ซึ่งเหตุเรื่องรถติดนี่มักจะนำมาอ้างกันบ่อยมากกว่าสาเหตุอื่น
4.
พนักงานมีข้ออ้างสารพัด เช่น
ต้องไปส่งลูกที่โรงเรียนตอนเช้า, ต้องดูแลบุพการีที่เจ็บป่วย, ตัวพนักงานเองสุขภาพไม่ดี ฯลฯ
5.
เกิดจากตัวหัวหน้างานที่มาสายเสียเองให้ลูกน้องเห็นอยู่บ่อย
ๆ เป็นประจำ ทำให้ลูกน้องเอาเป็นแบบอย่างบ้างน่ะสิครับ
เพราะทีหัวหน้ายังมาสายได้แล้วทำไมฉันจะมาสายบ้างไม่ได้ล่ะ
6.
หัวหน้าเป็นคนขี้เกรงใจลูกน้อง
ไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือนลูกน้องกลัวว่าถ้าไปตำหนิว่ากล่าวแล้วเดี๋ยวลูกน้องจะเคือง
ลูกน้องจะไม่รัก ก็เลยทำให้ลูกน้องคนอื่น ๆ
เห็นว่าทีเพื่อนเรามาสายไม่เห็นหัวหน้าว่าไง เราก็ Me too (แปลว่ากูด้วย)
บ้างสิ ผลก็เลยทำให้พนักงานในหน่วยงานนั้นมาสายกันแทบทั้งแผนก
7.
หัวหน้างานไปมีข้อยกเว้นให้กับลูกน้องที่ทำงานดีที่หัวหน้าปลื้มชื่นชม
พอลูกน้องคนนี้มาสายก็ไม่ว่ากล่าวตักเตือนอะไรเพราะไปให้เครดิตเรื่องงานเป็นหลัก
ก็เลยทำให้ลูกน้องคนนี้กลายเป็นอภิสิทธิชนในหน่วยงานไป
8.
ไม่ประเมินการทำงานในระหว่างทดลองงานให้ดี
เห็นพฤติกรรมการมาสายตั้งแต่ตอนทดลองงานแล้วก็ยังดันทุรังบรรจุให้เป็นพนักงานประจำเพราะอ้างว่าไม่มีคนทำงานได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำยิ่งลายออก
มาสายหนักกว่าเดิมเสียอีก
อันที่จริงแล้วสาเหตุการมาสายน่ะมีมากกว่านี้อีกนะครับ
แต่ทั้งหลายทั้งปวงท่านจะเห็นได้ว่าคนที่ควรจะต้องคิดหาสาเหตุหรือป้องกันปัญหาเรื่องพนักงานมาสายที่ดีที่สุดคือ
“หัวหน้า” ของพนักงานที่มาสายนั่นแหละครับ
ถ้าหัวหน้ายังปล่อยปละละเลยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
ไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือนลูกน้องที่มาสาย คิดได้อย่างเดียวคือถ้าใครมาสายก็ตัดเงินเดือนตามระเบียบนี่ปัญหาการมาสายก็จะยังคงอยู่อย่างงี้แหละ
หัวหน้าจึงควรหันกลับมาดูสาเหตุการมาสายของลูกน้องตัวเองแล้วแก้ไขพฤติกรรมเป็นรายบุคคล (Case by Case) เพราะแต่ละคนจะมีปัญหาที่แตกต่างกันไป
ถ้าพยายามแก้ไขทุกอย่างแล้วจนถึงการว่ากล่าวตักเตือนแล้วก็ยังไม่ฟังให้ทำอย่างนี้สิครับ
1.
แจ้งให้ทราบโดยทั่วกันเลยว่าประวัติการมาทำงานของพนักงานจะมีผลกับการขึ้นเงินเดือนประจำปีและการจ่ายโบนัสให้น้อยลงจนถึงไม่ให้เลยรวมถึงการงดพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง
ถ้าพนักงานคนไหนยังมิได้นำพาและมาสายเกินกว่าที่กำหนดไว้ก็เตรียมทำใจในเรื่องเหล่านี้เอาไว้ได้เลย
2.
ดำเนินการตามวินัย เช่น ตักเตือนด้วยวาจา,
ตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร
จนถึงการตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งสุดท้ายว่าห้ามสายอีกนะ
ถ้ามาสายอย่างนี้อีกบริษัทจะก็จะเลิกจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้าใด
ๆ ทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับพนักงานคนอื่น ๆ
แล้วถ้าพนักงานคนไหนยังผิดซ้ำคำเตือนก็เลิกจ้าง
ซึ่งก็จะเป็นการส่งสัญญาณให้พนักงานในบริษัทได้รับรู้ว่าบริษัทจะไม่ยอมรับการมาสายซ้ำซากแบบนี้ได้อีกต่อไป
ซึ่งทั้งหมดที่ผมบอกมานี้จะเห็นได้ว่าไม่จำเป็นต้องไปตัดเงินเดือนพนักงานที่มาสาย
แต่ใช้วิธีการแก้ปัญหาที่ตัวสาเหตุ (ซึ่งต้องหาสาเหตุให้เจอเสียก่อน) เป็นรายบุคคลแล้วก็ว่ากันไปตามระเบียบวินัย
แต่ที่สำคัญคือหัวหน้าแต่ละคนมีความพร้อมและกล้าพอที่จะแก้ปัญหาการมาสายของลูกน้องอย่างจริงจังหรือไม่
ที่สำคัญก็คือ..วันนี้หัวหน้าได้เป็นตัวอย่างที่ดีในการมาทำงานตรงเวลาให้ลูกน้องเห็นแล้วหรือยัง?
เพราะถ้าแม้แต่หัวหน้าเองก็ยังมาสาย อย่างงี้จะไปตักเตือนว่ากล่าวให้ลูกน้องมาตรงเวลาได้ยังไง
ใครเขาจะไปเชื่อ
คำพังเพยโบราณสอนไว้ว่า
“ถ้าหัวส่าย หางก็กระดิก ถ้าหัวไม่ส่าย หางก็ไม่กระดิก” ขนาดแม่ปูยังเดินเบี้ยวจะไปสอนลูกปูให้เดินตรงได้ยังไงล่ะครับ
บริษัทไหนที่ยังแก้ปัญหาการมาสายที่ปลายเหตุน่าจะลองนำเรื่องนี้กลับไปคิดทบทวนนโยบายกันดู
เริ่มต้นด้วยการจัดการกับหัวหน้าที่มาสายเป็นประจำเสียก่อนดีไหมครับ? :-)
………………………………….