ยังมีความเชื่อกันว่าเมื่อบริษัทออกกฎระเบียบหรือคำสั่งใด ๆ แล้วพนักงาน “จะต้อง” ปฏิบัติตามกฎระเบียบนั้น ๆ ถ้าพนักงานฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติบริษัทก็จะสามารถลงโทษพนักงานได้ตามกฎระเบียบระบุไว้จนถึงขั้นเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยใด ๆ ทั้งสิ้น
How to..สำหรับผู้สนใจด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล
โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ วิทยากรและที่ปรึกษาด้าน HR บริษัท ทีอาร์เอ็นคอนซัลแทนท์ จำกัด อีเมล์ tamrongsakk@hotmail.com หรือ tamrongsakk@gmail.com
วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2568
เขาว่า..บริษัทจะออกกฎ ระเบียบ คำสั่ง หรือประกาศ ใด ๆ ก็ได้..ทุกคนต้องทำตาม?
วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2568
ว่าด้วยเรื่องทดลองงาน (3)
ถาม : กรณีที่บริษัทแจ้งว่าพนักงานไม่ผ่านทดลองงานแล้วไม่ยอมเขียนใบลาออก บริษัทควรจะแจ้งเลิกจ้างโดยใช้วิธี “บอกกล่าวล่วงหน้า” ดีหรือไม่
หรือแย่กว่านั้นพนักงานทดลองงานที่นิสัยไม่ดีบางคนอาจจะทำให้บริษัทเสียหาย (โดยบริษัทไม่รู้ตัว) เช่น ลักลอบเอาไฟล์ข้อมูลสำคัญของลูกค้าออกไปขายต่อก็มีให้เห็นมาแล้ว
นี่แหละครับผลของการบริหารแบบเสียน้อยเสียยาก..เสียมากเสียง่าย
ผมมักจะแนะนำว่าถ้าพนักงานไม่เขียนใบลาออก บริษัทก็ควรยื่นหนังสือเลิกจ้างโดยระบุวันที่มีผลเลิกจ้างคือวันรุ่งขึ้นแล้วบริษัทก็จ่ายค่าชดเชย (ถ้ามี) และค่าบอกกล่าวล่วงหน้าให้ไปเลยจะดีกว่าจะได้ไม่ต้องมาตามแก้ปัญหาหยุมหยิมให้หงุดหงิดใจทำนองนี้อีกและลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายจากกรณีพนักงานไม่ผ่านทดลองงานที่มีพฤติกรรมไม่ดีเหล่านี้อีกต่างหาก
เรื่องทำนองนี้ก็คงต้องดูเป็น Case by Case ครับ
ถ้าจบแบบไม่สวยก็ควรใช้วิธี “เจ็บแต่จบ”
คือยอมจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าดีกว่าจะยืดเยื้อแล้วเรื้อรัง
เพราะถ้าจบกันด้วยดีส่วนใหญ่น้องทดลองงานเขาก็จะยอมรับผลงานตามที่หัวหน้าเคยเตือนเคยแจ้งไปก่อนหน้านี้แล้วก็เขียนใบลาออก
ซึ่งตรงนี้ก็คุยกันได้ว่าจะ Effective วันไหนก็ตกลงกันซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนี้ครับ
วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2568
หนังสือดาวน์โหลดฟรี
หนังสือแจกฟรี
เนื่องจากยังมีคำถามมาที่ผมอยู่เป็นระยะเพื่อขอซื้อหนังสือที่ผมเคยเขียนมานานแล้วและทางสำนักพิมพ์ก็ไม่ได้พิมพ์เป็นเล่มแล้ว แต่เนื่องจากผมเป็นคนเขียนไม่ใช่สำนักพิมพ์จึงไม่มีขาย ผมก็เลยนำเอาหนังสือเหล่านั้นมาปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยและเข้าใจง่ายมากขึ้น (เนื้อหาในหนังสือที่แจกฟรี Update มากกว่าที่เคยพิมพ์เป็นเล่ม) แล้วเอามาแจกฟรีในบล็อกของผมคือ https://tamrongsakk.blogspot.com
หรือถ้าใครอ่านพบในเฟซบุ๊คของผมก็ให้ดาวน์โหลดเล่มที่ต้องการได้ตามนี้
1. Download หนังสือ "การประเมินค่างานและการทำโครงสร้างเงินเดือน (ภาคปฏิบัติ)"
https://www.dropbox.com/s/uho10vpz55vt5xu/JE%26SS_Free.pdf?dl=0
2. ดาวน์โหลด Micro Pocket Book "25 คำถามเกี่ยวกับโครงสร้างเงินเดือนจากประสบการณ์"
https://www.dropbox.com/s/cc8to40p10ojyat/25%20%20Q%26A_SS.pdf?dl=0
3. ดาวน์โหลดหนังสือ “ความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างเงินเดือนแบบง่าย ๆ”
4. Download หนังสือ “การบริหารความเสี่ยงด้าน HR”
5. Download หนังสือ “หัวหน้างานกับการบริหารลูกน้อง – HR for NON HR”
6. Download หนังสือ "จัดการฝึกอบรมให้มีประสิทธิผลอย่าง Training Officer มืออาชีพ"
https://www.dropbox.com/s/urvq70samjd3tfr/TO_Free.pdf?dl=0
7. ดาวน์โหลดหนังสือ "เรียนรู้โหราศาสตร์ไทยมาใช้ในงาน HR - ภาคปฏิบัติ"
https://www.dropbox.com/s/oe537r47y4yk8g6/HR_Horasad.pdf?dl=0
8. ดาวน์โหลดหนังสือ "คู่มือการเป็นวิทยากร" หรือ Train the trainer
https://www.dropbox.com/s/52as4h4fvo57k8b/TrainTheTrainer.pdf?dl=0
9. ดาวน์โหลดหนังสือ “การทำ Training & Development Roadmap ตามแผนงานขององค์กร (ภาคปฏิบัติ)”
https://www.dropbox.com/s/0rq5x9ukx0zatqm/TRM_By%20Strategic%20Plan.pdf?dl=0
10. ดาวน์โหลดหนังสือ "สนุกไปกับพฤติกรรมคนด้วยจิตวิทยาและเทวดากรีก"
11. ดาวน์โหลดหนังสือ “กระตุกต่อมคิดชีวิตคนทำงาน”
https://www.dropbox.com/scl/fi/4wv00ukyln55soxp7n49i/.pdf?rlkey=lnb4umxi96twyafp9nsf1u32i&dl=0
12. ดาวน์โหลดไฟล์ "รู้เขา..รู้เราด้วย D I S C"
13. ดาวน์โหลดไฟล์ “ทำไม Functional Competency ถึงไม่เวิร์ค”
14. ดาวน์โหลดหนังสือ “คุยเฟื่องเรื่องค่าตอบแทน”
ดาวน์โหลดประวัติวิทยากร
15. ดาวน์โหลดหนังสือ “เสริมทักษะหัวหน้างานยุคใหม่”
16. ดาวน์โหลดไฟล์ “อคติกับพฤติกรรมคน”
17. รวมเรื่องนักคิดจิตวิทยาและการจัดการ
18. Micro Pocket Book “25 คำถามเกี่ยวกับโครงสร้างเงินเดือนจากประสบการณ์”
19. Check list ปัญหาค่าตอบแทน
20. หนังสือ “เขาว่า..ที่ทำให้เกิดปัญหาในการบริหารคน”
21.หนังสือ “ถาม-ตอบปัญหาค่าจ้างเงินเดือนจากหน้างาน”
https://www.dropbox.com/scl/fi/7tcldqpsqqfjtywaxye0e/.pdf?rlkey=vo26my5vwpyud811wkg84968k&dl=0
22. บทความ “คุยเฟื่องเรื่องการประเมินผลการปฏิบัติงาน_Mar 2024”
วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2568
ว่าด้วยเรื่องทดลองงาน (2)
ถาม : กรณีที่ทำหนังสือเลิกจ้างพนักงานที่ไม่ผ่านทดลองงาน บริษัทจะต้องจ่ายอะไรบ้าง?
ตอบ :
1. จ่ายค่าชดเชยตามอายุงาน
สำหรับพนักงานทดลองงานที่มีอายุงานนับตั้งแต่วันเข้าทำงานจนถึงวันที่เลิกจ้างครบ 120
วันขึ้นไปตามมาตรา 118 ของกฎหมายแรงงาน
ถ้าอายุงานครบ 120 วันยังไม่ถึง 1 ปีบริษัทก็จ่ายค่าชดเชย 1 เดือน (ม.118 ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน) แต่ถ้าพนักงานทดลองงานมีอายุงานยังไม่ถึง 120 วันแล้วบริษัทจะเลิกจ้างก็ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
2. จ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า
(หรือมักจะเรียกกันว่าค่าตกใจ) กรณีที่บอกเลิกจ้างวันนี้
แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานตามมาตรา 17 ของกฎหมายแรงงาน
ซึ่งค่าบอกกล่าวล่วงหน้านี้บริษัทจะต้องจ่ายให้กับลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างทุกกรณีแม้ว่าลูกจ้างจะทำงานน้อยกว่า
120 วันก็ตาม
ซึ่งการบอกเลิกจ้างจะต้องบอก ณ
วันจ่ายค่าจ้างหรือก่อนหน้าเพื่อให้มีผลในการจ่ายค่าจ้างงวดถัดไป
ถ้าบอกถูกจังหวะก็จ่าย 1 เดือน ถ้าบอกผิดจังหวะก็จ่ายสูงสุด 2 เดือน (กรณีจ่ายค่าจ้างเดือนละครั้ง)
วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568
ว่าด้วยเรื่องทดลองงาน (1)
ถาม : บริษัทมีวิธีไหนที่จะปฏิบัติกับพนักงานที่ไม่ผ่านการทดลองงานและตัดสินใจว่าจะไม่รับเป็นพนักงานประจำบ้าง?
ตอบ :
1. หัวหน้าควรจะมีการพูดจาแจ้งผล
หรือตักเตือนให้เขาทราบเป็นระยะว่าเขามีพฤติกรรมที่มีปัญหาหรือทำงานไม่ดียังไงบ้าง
หัวหน้าต้องการให้เขาปรับปรุงพฤติกรรมในการทำงานยังไงบ้าง มีเป้าหมายให้ชัดเจน
เพื่อให้เขาได้ปรับปรุงตัว และควรมีเอกสารเช่นใบประเมินผลให้เขาเซ็นรับทราบเอาไว้ด้วย
หัวหน้าไม่ควรทำตัวเป็นจ่าเฉยแล้วปล่อยให้ลูกน้องทำงานแบบผิด
ๆ หรือปล่อยให้ลูกน้องมีพฤติกรรมการทำงานไม่ดีไปเรื่อย ๆ โดยไม่หือไม่อืออะไรเลย
2. ถ้ายังไม่ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นก็ควรจะเชิญพนักงานที่ไม่ผ่านทดลองงานมาแจ้งผลแล้วอธิบายเหตุผลที่ไม่ผ่านทดลองงานอย่างพี่อย่างน้องด้วยเหตุด้วยผล
และให้เขาเขียนใบลาออกไปจะได้ไม่เสียประวัติ
3. ส่วนจะให้วันลาออกมีผลเมื่อไหร่
ก็อยู่กับการคุยกันระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องเพื่อให้จบได้ด้วยดี (ตรงนี้ HR
อาจเข้ามาช่วยเป็นคนกลางในการเจรจาได้)
จากประสบการณ์ทำงานของผมพนักงานมักจะเขียนใบลาออกเพราะไม่อยากเสียประวัติว่าถูกเลิกจ้างครับ
ที่ไม่ยอมเขียนใบลาออกก็เพราะหัวหน้ามักไปด่าเขาหรือพูดจากับเขาไม่ดีก็เลยมีดราม่ากันต่อ
4. หากพนักงานไม่ยอมเขียนใบลาออก
บริษัท (โดย HR) ก็ต้องทำหนังสือเลิกจ้างยื่นให้พนักงานพร้อมระบุเหตุผลการเลิกจ้างว่ามีปัญหาไม่ผ่านการทดลองงานเพราะอะไรยังไงให้ชัดเจน
ซึ่งกรณีนี้พนักงานก็จะเสียประวัติว่าถูกเลิกจ้างเพราะไม่ผ่านทดลองงานเวลาไปสมัครงานที่ใหม่ก็อาจจะมีปัญหากับตัวพนักงานได้เหมือนกัน
วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568
ปัญหาการกำหนดสเป็คใน JD กับ Starting Rate
ผมเห็นประกาศรับสมัครงานของบริษัทแห่งหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า
“รับสมัครพนักงานปฏิบัติการ
คุณวุฒิ : ปวส.(มีประสบการณ์ทำงาน 2 ปี) หรือจบปริญญาตรี”
คนที่เห็นประกาศรับสมัครงานแบบนี้แล้วอ่านผ่าน
ๆ ไปก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเพราะเป็นประกาศรับสมัครงานตามปกติทั่วไป
แต่ผมอ่านประกาศแบบนี้แล้วในมุมของคนทำงานด้าน
Com & Ben ก็ไปสะกิดต่อมเอ๊ะน่ะสิและมีคำถามชวนให้คิดดังนี้
1.
ถ้าหากจะรับผู้สมัครที่จบปวส.ในตำแหน่งพนักงานปฏิบัติการและต้องมีประสบการณ์ทำงาน
2 ปี
คำถามคือประสบการณ์ด้านไหนเพราะไม่ระบุให้ชัดเจนแบบนี้จะมีผลต่อการตัดสินใจรับคนเข้าทำงานของกรรมการสัมภาษณ์แถมยังจะทำให้เกิดดราม่าระหว่าง
HR กับ Line Manager ได้ง่าย ๆ
2.
ถ้าผู้สมัครงานจบปริญญาตรีไม่ต้องมีประสบการณ์ทำงานหมายถึงคนที่จบปริญญาตรีมาใหม่เอี่ยมและยังไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนก็สามารถทำงานในตำแหน่งพนักงานปฏิบัติการนี้ได้ใช่หรือไม่
ถ้าตอบว่าใช่
แล้วมันจะต่างกันยังไงกับคนที่จบปวส.ใหม่เอี่ยมถ้ารับเข้ามาแล้วจะทำงานนี้ไม่ได้?
3.
อธิบายเพิ่มจากข้อ 2 คือถ้าบริษัทระบุสเป็คตามข้อ
1 และข้อ 2 (ผมสมมุติว่าประสบการณ์ทำงาน
2 ปีนั้นเป็นประสบการณ์ที่ตรงกับลักษณะงานในตำแหน่งนี้เลยก็ได้)
มันจะไม่ขัดแย้งในตัว Job นี้หรือครับ
เพราะประสบการณ์ทำงาน
2 ปีที่ทำงานด้านปฏิบัติการมานั้นมันไม่เกี่ยวกับการเรียนจนจบปริญญาตรีเลยจริงไหมครับ
ดังนั้นถ้าคนจบปริญญาตรีมาใหม่เอี่ยมทำงานนี้ได้
ถามว่าคนที่จบปวส.มาใหม่จะทำงานนี้ได้เหมือนกันหรือเปล่า
ถ้าตอบว่าปวส.จบใหม่ทำไม่ได้ก็ต้องถามต่อว่าทำไมถึงทำไม่ได้ล่ะครับ
4.
การกำหนดเงินเดือนแรกรับในตำแหน่งนี้กำหนดตามคุณวุฒิหรือกำหนดตามตำแหน่งครับ
ถามว่าคนที่จบปวส.และมีประสบการณ์ทำงาน 2 ปีจะได้เงินเดือนเท่าไหร่
หรือคนที่จบปริญญาตรีมาใหม่และไม่มีประสบการณ์ทำงานจะได้เงินเดือนเท่าไหร่
เช่น
สมมุติว่าบริษัทนี้กำหนดเงินเดือนตามตำแหน่ง (หรือเรียกว่ากำหนดตาม Job) ไว้ที่ 16,000 บาท
ดังนั้นไม่ว่าจะจบปวส.และมีประสบการณ์ทำงาน 2 ปีหรือจบปริญญาตรีมาใหม่ไม่มีประสบการณ์ทำงานก็จะต้องได้เงินเดือนเท่ากันคือ
16,000 บาท
5.
แต่ถ้าบริษัทแห่งนี้กำหนดเงินเดือนตามคุณวุฒิ
(ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นอย่างนี้ซะด้วย) เช่น ปวส.จบใหม่จะได้เงินเดือน 14,000
บาท ปริญญาตรีจบใหม่จะได้ 16,000 บาท
แล้วกรณีนี้คือจบปวส.แต่มีประสบการณ์ทำงาน 2 ปีบริษัทจะกำหนดเงินเดือนเท่าไหร่ครับ
ถ้าจบปวส.แต่ไม่มีประสบการณ์ทำงานหรือมีประสบการณ์ทำงาน 1 ปีบริษัทจะรับเข้าทำงานไหม
ถ้ารับเข้าทำงานจะตั้งเงินเดือนเท่าไหร่
6.
ถ้าสมมุติว่าบริษัทตั้งเงินเดือนคนจบปวส.มีประสบการณ์ทำงาน 2
ปีต่ำกว่าปริญญาตรีจบใหม่
บริษัทจะตอบคำถามคนที่จบปวส.ที่มีประสบการณ์ 2 ปียังไงดี
เพราะคนที่จบปวส.และมีประสบการณ์ทำงาน 2 ปีคงจะถามแหละว่าทำไมเขาถึงได้เงินเดือนน้อยกว่าคนจบใหม่ปริญญาตรี
(แถมไม่มีประสบการณ์ทำงาน) เพราะสัจธรรมที่ว่า
“เงินเดือนของเราได้เท่าไหร่ไม่สำคัญเท่ากับเพื่อนได้เท่าไหร่”
ยังคงเป็นสัจธรรมที่จริงแท้แน่นอนอยู่เสมอ
7.
แม้แต่การที่บริษัทกำหนดเงินเดือนตาม Job ในข้อ 4 นั้นสำหรับผมก็ยังมีคำถามต่อมาคือถ้าบริษัทรับคนที่จบปวส.แต่มีประสบการณ์ทำงานตรง
2 ปีเข้ามาทำงาน
กับคนที่จบปริญญาตรีมาใหม่ไม่มีประสบการณ์ทำงานน่ะ
บริษัทก็จะต้องมาเสียเวลาเสียงบประมาณในการฝึกอบรมหรือสอนงานคนที่จบปริญญาตรีมากกว่าคนที่จบปวส.แหง
ๆ
ถ้าเป็นอย่างงั้นทำไมไม่กำหนดสเป็คลงไปเลยล่ะว่ารับคนที่จบปวส.และมีประสบการณ์ทำงาน
(ด้านไหนระบุให้ชัด) 2 ปี
เพราะโดยสเป็คแบบนี้ก็ทำงานได้แล้วและบริษัทไม่ต้องมี Staff Cost ที่เพิ่มขึ้นในการฝึกฝนคนที่จบปริญญาตรีแต่ไม่มีประสบการณ์ทำงานอีกด้วย
จากคำถามและข้อสังเกตที่ผมบอกมาข้างต้นทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่ HR ที่ดูแลด้านค่าตอบแทนควรจะต้องมีหลักคิดและเป็นคนที่ต้องมีทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล
ฝึกตั้งคำถามกันตัวเองในเรื่องค่าตอบแทนที่จะจ่ายให้กับพนักงานในรูปแบบต่าง ๆ
โดยคิดถึงผลกระทบในแง่ความเสมอภาคและเป็นธรรมในภาพรวมของผู้คนในองค์กร
HR ควรจะต้องพูดคุยกับ
Line Manager ในแต่ละหน่วยงานในการกำหนดคุณสมบัติของตำแหน่งงานใน
JD (Job Description) ให้ชัดเจนและควรกำหนดอัตราเงินเดือนแรกรับเข้าทำงานให้สอดคล้องกับสเป็คของแต่ละตำแหน่งงานด้วยการตอบคำถามกับผู้บริหารและพนักงานได้อย่างมีเหตุผล
สามารถอธิบายให้ผู้บริหารและพนักงานเข้าใจได้ว่าทำไมบริษัทถึงกำหนดเงินเดือนแรกรับไว้เท่ากันหรือต่างกัน
และกำหนดเงินเดือนแรกรับได้อย่างมีความเสมอภาคและเป็นธรรมตามหลักของการบริหารค่าตอบแทนที่ดี
สิ่งที่สำคัญคือทั้ง
HR และฝ่ายบริหารไม่ควรกำหนดเงินเดือนหรือค่าตอบแทนด้วยความรู้สึกหรือใช้อารมณ์ของฝ่ายบริหารแทนที่จะใช้เหตุใช้ผลและการคิดให้รอบคอบเสียก่อน
เพราะการทำแบบนั้นจะเป็นผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือจากคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารหรือพนักงาน
และยังเป็นปัจจัยเร่งที่จะทำให้คนที่มีฝีมือในบริษัทของท่านตัดสินใจลาออกได้เร็วยิ่งขึ้นครับ
วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2568
ทำไมคนใหม่ถึงได้เงินเดือนมากกว่าคนเก่า?
ผมเห็นการตั้งคำถามแบบนี้บนโลกออนไลน์แล้วก็มีคนเข้ามาตอบกัน
เจ้าของกระทู้ถามว่าบริษัทให้เงินเดือนเด็กจบใหม่มากกว่าคนเก่าที่ทำงานมาก่อน
4 ปี โดยยกตัวอย่างว่านาย A เริ่มทำงานด้วยเงินเดือน
16,000 บาท ทำงานผ่านไป 4 ปีได้ขึ้นเงินเดือนปีละ
5 เปอร์เซ็นต์ทำให้เงินเดือนปีที่ 4 เท่ากับ
19,448 บาท
แล้วบริษัทก็รับนาย B จบใหม่เข้ามาทำงานในตำแหน่งเดียวกับนาย
A โดยให้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 20,000 บาท
แล้วมาให้คนเก่าสอนงานเสียอีกต่างหาก ก็เลยทำให้นาย A ไม่อยากสอนงานนาย
B
ถามว่าเพราะอะไรบริษัทถึงทำอย่างนี้
ผมว่าถ้าผู้ถามได้อ่านบทความที่ผมเคยเขียนไปเมื่อปีที่แล้วคือ
“การขึ้นเงินเดือนประจำปีไม่ใช่ความก้าวหน้า” (ไปเสิร์จหาคำนี้ในกูเกิ้ลดูนะครับ)
จะเข้าใจสัจธรรมเรื่องนี้ได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ผมยังมีข้อคิดเพิ่มเติมแบบตรงไปตรงมาในมุมมองของผมดังนี้
1. ต้องยอมรับความจริงว่าอัตราเติบโตของเงินเดือนภายนอกบริษัทมีมากกว่าในบริษัทตามภาพสถิติการปรับค่าจ้างขั้นต่ำย้อนหลังปี
2550 ถึง 2568 จะเห็นได้ว่าเรามีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยปีละประมาณ
7.5% ซึ่งการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะมีผลกระทบถึงอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิต่าง
ๆ และการปรับค่าจ้างคนเก่าหนีคนใหม่ มากบ้างน้อยบ้าง
2. นาย
A จะอ้างว่าทำงานมานานกว่านาย B เด็กใหม่
แต่การทำงานมานานกว่าไม่ได้แปลว่าจะมีผลงานที่ดีกว่าหรือมีศักยภาพหรือขีดความสามารถสูงกว่าคนใหม่เสมอไป
เพราะการที่บริษัทจะตั้งเงินเดือนให้กับคนเข้าใหม่
หรือจะปรับขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานคนไหนก็มักจะเป็นไปตามสูตร
เงินเดือน/ค่าจ้าง = P+C (P=Performance-ผลงาน และ C=Competency-ความสามารถ)
เมื่อนาย A ทำงานมา 4 ปีแต่ได้ขึ้นเงินเดือนปีละ
5% มาโดยตลอด ก็แสดงว่าบริษัทมองว่านาย A มี P+C เท่าที่บริษัทขึ้นเงินเดือนให้คือตามค่าเฉลี่ยปีละ
5% นาย A ก็เลยมีอัตราเงินเดือนปัจจุบัน
20,000 บาท
ซึ่งการตั้งเงินเดือนคนเข้าใหม่หรือการปรับขึ้นเงินเดือนพนักงานนั้น
ฝ่าย HR ไม่ได้มีอำนาจอนุมัติไปปรับขึ้นให้ใครได้เองนะครับ HR
เป็นเพียงผู้นำเสนอตัวเลขที่เห็นว่าเหมาะสมให้กับฝ่ายบริหารพิจารณาเพื่ออนุมัติ
ซึ่งก็แปลว่านี่เป็นการพิจารณาของฝ่ายบริหาร (หรือบริษัท) แล้วว่าใครจะมี P+C
ที่บริษัทเห็นความสำคัญมาก-น้อยแค่ไหน
3. จากสองปัจจัยหลัก
ๆ ตามข้อ 1และข้อ 2 คืออัตราเติบโตของเงินเดือนภายในบริษัทต่ำกว่าการเติบโตภายนอก
และนาย A ก็มี P+C ที่ยังไม่เข้าตาผู้บริหาร
ในขณะที่บริษัทเห็นว่านาย B น่าจะมีศักยภาพมากกว่านาย A
จึงตัดสินใจจ้างนาย B เข้ามาในเงินเดือนที่สูงกว่าที่นาย
A ได้รับอยู่ในปัจจุบัน
4. คำถามก็คือนาย
A ควรจะทำยังไงดีระหว่างการบ่นด่าว่าบริษัท (และ HR) กับการคิดหาทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง?
5. ถ้านาย
A เชื่อมั่นว่าตัวเองมีความรู้ความสามารถ (มี P+C) หรือเรียกว่าพัฒนาตัวเองจน “มีของ” บริษัทก็จะต้องหาทาง Promote ปรับเงินเดือนให้นาย A เพื่อรักษาไว้ตาม P+C ที่ผู้บริหารมองเห็น
แต่ถ้าบริษัทมองไม่เห็น “ของ” ที่นาย A มี
ก็ถึงเวลาที่นาย A จะต้องร้องเพลงของพี่ตูนบอดี้สแลมคือ
“เรือเล็กควรออกจากฝั่ง” แล้วออกไปแตะขอบฟ้าที่อื่นที่ไม่ใช่บริษัทนี้แล้วแหละครับ
และควรจะเริ่มคิดหาวิธีออกจากฝั่งนี้ไปตามความเชื่อมั่นของเราที่ฝั่งใหม่ได้แล้ว
6. แต่ถ้านาย
A ยังไม่ตัดสินใจจะทำอะไรและยังคงทำงานเหมือนเดิมต่อไปก็ต้องยอมรับสภาพที่เป็นอยู่
มีคำ ๆ หนึ่งที่กำลังฮิตจากซีรีย์เรื่องสงครามส่งด่วนคือ
“ถอนขนนกกระจอกกับถอนขนไก่ใช้เวลาเท่ากัน เลือกเป้าหมายให้ดี“
สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ทัศนคติ” ของตัวเราเอง
อย่ามัวคิดแต่เสียเวลาคิดก่นด่าว่าคนอื่น หรือดูถูกตัวเองว่าเรามันไม่มีความสามารถ
เรามันแย่ เรามันไม่มีหนทางจะไป ฯลฯ
ใครดูถูกเราก็ไม่เท่าเราดูถูกตัวเอง!
ลองมาทบทวนดูว่าตัวเรามีความรู้ความสามารถอะไรบ้างและเราได้ใช้ความสามารถของเราอย่างดีที่สุดแล้วหรือยัง
ถ้าทางเดินในปัจจุบันมันถึงทางตันแล้วเราจะยังคงดันทุรังเดินหน้าต่อไปในทางตันโดยไม่หาทางเดินใหม่เลยหรือครับ
ผมเชื่อว่าหนทางของความสำเร็จจะมีอยู่เสมอถ้าเรามองหามัน!
มีคำคมของไอน์สไตน์ก็คือ....
“ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่มีความสุข จงพันธนาการชีวิตด้วยจุดหมาย
ไม่ใช่ผู้คนหรือสิ่งอื่นใด” (If you want to live a happy life, tie it to
a goal, not to people or things.)
ถ้าใครที่มีปัญหาคับข้องใจเหมือนกับชื่อบทความนี้เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว
น่าจะคิดได้แล้วนะครับว่าเราควรจะมามัวเสียเวลาพันธนาการชีวิตของเราเอาไว้อยู่กับบริษัทนี้หรือพันธนาการชีวิตเราอยู่กับการเปรียบเทียบเงินเดือนกับคนเข้าใหม่พร้อมกับด่าบริษัทแบบนี้ไปเรื่อย
ๆ วนเวียนเหมือนพายเรือในอ่างอยู่อย่างนี้
หรือถึงเวลาที่เราควรจะต้องเริ่มกำหนดจุดหมายในชีวิตให้ชัดเจน
แล้วเริ่มต้นออกเดินไปสู่เป้าหมายที่เรากำหนดเสียที
เรื่องไหนควรจะเป็นเรื่องที่เราใช้เวลาคิดหาทางแก้ปัญหานี้มากกว่ากันนะครับ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ