มักจะมีการบอกต่อ ๆ กันมาว่าถ้าหากจะแจ้งเลิกจ้างพนักงานวันนี้ แล้วบอกว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ บริษัทก็ต้องจ่ายค่าตกใจ (หรืออาจจะเรียกว่า “ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า” หรือ “สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า”) 1 เดือน
แล้วบริษัทต่าง
ๆ ก็มักจะจ่ายค่าตกใจ 1 เดือนกันมาโดยตลอด
คำถามคือตกลงแล้วการจ่ายค่าตกใจ
1 เดือนที่ทำกันต่อๆ มานั้นถูกต้องหรือไม่ ?
มาตรา
17 ของกฎหมายแรงงานบอกไว้ว่า....
“....ในกรณีที่สัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา
นายจ้างหรือลูกจ้างอาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ
ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด
เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเกินสามเดือน....
....การบอกเลิกสัญญาจ้างตามวรรคสอง
นายจ้างอาจจ่ายค่าจ้างให้ตามจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวและให้ลูกจ้างออกจากงานทันทีได้....”
ผมเลยทำผังให้ดูแบบเข้าใจง่าย
ๆ ตามภาพด้านล่างดังนี้
จากมาตรา 17 ข้างต้นผมสมมุติว่าบริษัทจ่ายเงินเดือนทุกสิ้นเดือน (ตามภาพประกอบ)
ถ้าบริษัทแจ้งเลิกจ้างลูกจ้างวันที่
30 มิย.โดยบอกว่าพรุ่งนี้ (คือวันที่ 1 กค.) ไม่ต้องมาทำงานแล้ว
บริษัทก็ต้องจ่ายค่าตกใจ
(หรือค่าบอกกล่าวล่วงหน้า) ไป 1 เดือนคือตั้งแต่ 1
กค. ถึง 31 กค.
ส่วนค่าจ้างในเดือนมิย.ก็ต้องจ่ายให้ลูกจ้างเต็มเดือนตามปกติอยู่แล้วนะครับ
เพราะตามมาตรา
17 ให้บอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อถึงกำหนดการจ่ายค่าจ้างหรือก่อนหน้านั้นเพื่อให้มีผลเลิกสัญญาจ้างเพื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างในครั้งต่อไป
แต่ถ้าสมมุติว่าบริษัทไปแจ้งเลิกจ้างพลาดไปเพียง
1 วันคือแทนที่จะแจ้งวันที่ 30 มิย.แต่กลับไปแจ้งเลิกจ้างในวันที่ 1 กค.โดยบอกลูกจ้างว่าพรุ่งนี้
(2 กค.) ไม่ต้องมาทำงานแล้ว
จึงเสมือนกับบริษัทไปแจ้งเลิกจ้างวันที่ 31 กค.ก็เลยต้องนับจากวันที่
31 กค.ไปอีก 1 รอบการจ่ายค่าจ้างถึงวันที่
31 สค.
บริษัทจึงต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าในเดือน
กค.และเดือนสค.
หมายถึงบริษัทก็จะต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า
1-31 กค.(เต็มเดือน) และ 1-31 สค.(เต็มเดือน)
สรุปคือกรณีนี้บริษัทจะต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า
2 เดือนครับ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วผมเชื่อว่าเราคงเข้าใจหลักการจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าตรงกันและเลือกวันแจ้งได้เหมาะสมแล้วนะครับ
