วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2567

คิดให้รอบด้านก่อนจะเปลี่ยนงานใหม่

             ก่อนหน้านี้ผมทำตารางประเมินตัวเองให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจลาออกไปแล้ว มาคราวนี้ก็เลยขอเอาเรื่องนี้มาพูดต่อเพิ่มเติมจากครั้งที่แล้วตามนี้ครับ

1.      ทำการบ้านก่อนส่งใบสมัครงาน : ควรหาข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ของบริษัทนั้น ๆ ให้ดีเสียก่อนว่าเขาทำธุรกิจอะไร มีใครเป็นผู้ถือหุ้น ใครเป็นผู้บริหาร มีประวัติความเป็นมายังไง ฯลฯ จะได้ใช้สำหรับเตรียมตัวเมื่อมีการเรียกไปสัมภาษณ์ คำว่า “รู้เขา-รู้เรา” ยังใช้ได้อยู่เสมอ

2.      เป็นฝ่ายรุกตั้งคำถามบ้างไม่ใช่รอรับคำถามแต่เพียงฝ่ายเดียว : ไม่ควรเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ด้วยการเป็นผู้รอรับคำถามและแค่ตอบคำถาม แต่ควรเตรียมคำถามไปถามในห้องสัมภาษณ์ในสิ่งที่เราต้องการจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากทางบริษัทเพื่อให้รู้ทัศนคติ วิธีคิดของผู้บริหารหรือคนที่เป็นว่าที่หัวหน้าเพื่อประกอบการประเมินและตัดสินใจด้วยว่าเราจะไปกับบริษัทนี้ได้หรือไม่

ในข้อนี้อาจจะมีคนแย้งว่าจะไปเลือกอะไรนักหนา ทำเป็นกบเลือกนายไปได้ เขารับเข้าทำงานได้เงินเดือนมีงานทำก็ดีเท่าไหร่แล้ว อย่าเรื่องมากทำ ๆ ไปเถอะ ฯลฯ

คงจะมีหลายคนที่คิดแบบนี้ ซึ่งผมคงไม่ตัดสินนะครับว่าคิดแบบนี้ดีหรือไม่ดี

แต่ตัวผมเองจะประเมินบริษัท (และผู้บริหารที่สัมภาษณ์ผม) ทุกครั้งว่าจากที่สัมภาษณ์กันไปแล้วจะมีแนวโน้มที่จะทำงานด้วยกันได้ดีหรือไม่

ถ้าความคิดเห็นไม่ตรงกันตั้งแต่สัมภาษณ์ในประเด็นที่สำคัญหรือเป็นเรื่องที่ Sensitive ที่ผมคิดว่าขืนทำงานไปด้วยกันก็น่าจะเกิดความขัดแย้งกันแหง ๆ ผมก็จะตอบปฏิเสธ

เพราะถ้าขืนคิดแบบง่าย ๆ ข้างต้นว่าเมื่อเขารับเรา ๆ ก็ทำไปก่อน แต่แล้วก็ทำได้ไม่นานต้องลาออกหรือไม่ผ่านทดลองงานเพราะขัดแย้งกันในวิธีการทำงาน ในที่สุดคนที่จะเสียประวัติคือตัวเราเองนะครับ ไม่ใช่บริษัทที่รับเราเข้าทำงาน

 พูดมาถึงตรงนี้ใครจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยในประเด็นนี้ก็แล้วแต่จะคิดเลยครับ ผมแค่แชร์ความคิดในมุมของผมเท่านั้น

3.      สังเกตสภาพแวดล้อมในการทำงานของบริษัทที่เราไปสัมภาษณ์ : ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ควรสังเกตบรรยากาศของบริษัทว่าเป็นยังไง รวมถึงสีหน้า แววตา ภาษากาย การพูดจาของพนักงานในที่นั้น ๆ เป็นยังไงบ้าง มีบรรยากาศเป็นยังไง เพื่อเป็นปัจจัยหนึ่งในการประเมินว่าน่าทำงานที่นี่ไหม

4.      ไม่ควรยื่นใบลาออกเพราะแค่ความสะใจ : ยิ่งการยื่นใบลาออกโดยไม่มีงานใหม่หรือมีแผนอะไรรองรับเลยว่าหลังจากนี้เราจะเอายังไงต่อไปนี่ คนที่เดือดร้อนคือตัวเรานะครับไม่ใช่หัวหน้า อย่าหลงตัวเองว่าถ้าบริษัทขาดเราแล้วจะเดือดร้อน เพราะไม่มีตำแหน่งใดสำคัญที่สุดจนขาดไม่ได้หรอกครับ ในที่สุดเขาก็ต้องหาคนมาทำแทนได้อยู่ดีแหละ

5.      เซ็นสัญญาจ้างก่อนยื่นใบลาออก : ก่อนที่จะยื่นใบลาออกก็ควรจะต้องเซ็นสัญญาจ้างกับที่ใหม่ให้เรียบร้อยเสียก่อน และที่ใหม่ควรจะต้องให้สำเนาสัญญาจ้างกับเรามาด้วยเพื่อยืนยันเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย เมื่อมีข้อสงสัยเวลาที่เราซักถามบริษัทมีการอธิบายลักษณะงาน สภาพการจ้าง รวมไปถึงตอบคำถามต่าง ๆ ชัดเจนไหม

แล้วอย่าลืมอ่านสัญญาจ้างให้ดีนะครับ สัญญาจ้างที่ดีต้องไม่มีข้อความที่แสดงเจตนาเอาเปรียบพนักงานหรือผิดกฎหมายแรงงาน เช่น จะเรียกเงินค้ำประกันการทำงานทั้ง ๆ ที่ลักษณะงานไม่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ หรือถ้าไม่ผ่านทดลองงานจะไม่คืนเงินค้ำประกัน ฯลฯ 

ถ้ามีสัญญาจ้างทำนองนี้ล่ะก็ไม่ควรทำงานด้วยเลยครับ

อีกเรื่องหนึ่งคือถ้าเซ็นสัญญาจ้างแล้วบริษัทไม่ให้สำเนาสัญญาจ้าง หรือไม่ให้มีการเซ็นสัญญาจ้างก่อนที่จะไปเริ่มงานที่ใหม่ ผมตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทนั้นยังไม่มีความเป็นมืออาชีพ และอาจจะมี Hidden Agenda ของฝ่ายบริหารบางอย่างที่มีแนวโน้มที่ไม่ค่อยดีครับ

6.      ถ้าทำงานที่บริษัทนี้เราจะมี Career Path ที่จะเติบโตก้าวหน้าต่อไปได้มากน้อยแค่ไหน

7.      ตำแหน่ง เงินเดือน ค่าตอบแทนอื่น Total Pay รวมถึงสวัสดิการต่าง ๆ เป็นยังไงบ้าง น่าสนใจหรือไม่ ปกติการเปลี่ยนงานควรจะต้องมีรายได้และตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีกว่าเดิมนะครับ

8.      ไม่ควรตัดสินใจเปลี่ยนงานเพื่อหนีปัญหาปัจจุบันโดยยอมรับเงื่อนไขสภาพการทำงานที่ใหม่ที่แย่กว่าเดิม ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นการหนีเสือปะจระเข้ หนีร้อนไปเจอร้อนกว่าเดิมก็ได้ครับ

หวังว่าทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้จะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่กำลังคิดจะหางานใหม่ให้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจและเป็นกำลังใจให้ได้งานที่ใช่นะครับ