ถ้าจะมีคนถามผมว่า
“Normal
Curve” มีประโยชน์อะไร?
ผมก็จะตอบว่า
“ใช้เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปี
หรือจ่ายโบนัสตามผลงาน” ครับ
หลักการของ
Normal
Curve ไม่ใช่การหวงเกรดนะครับ
ต้องบอกเสียก่อนตรงนี้
เพราะถ้าใครไม่เคยต้องรับผิดชอบงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีนี่จะไม่มีวันเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้หรอกครับ
เช่น
บริษัทที่ยังมีนโยบายที่ให้ MD หรือให้เถ้าแก่เป็นคนขึ้นเงินเดือนคนทั้งบริษัทแล้วให้
Line Manager แต่ละหน่วยงานมีหน้าที่แค่เพียงประเมินผลการปฏิบัติงานของลูกน้อง
แล้วก็ส่งผลประเมินทั้งหมดมาให้ HR กับ MD ร่วมกันทำหน้าที่ “หยอด”
เปอร์เซ็นต์หรือเม็ดเงินให้กับพนักงานตามเกรดที่หัวหน้าประเมิน โดยที่ Line
Manager ไม่เคยจะต้องมายุ่งเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีนี่จะเกิดปัญหาคับข้องใจกับ
Normal Curve กันเยอะเลยครับ
ยกตัวอย่างง่าย ๆ
ว่าถ้าฝ่ายบริหารอนุมัติลงมาว่าปีนี้ให้งบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีมา 5% นั่นก็หมายความว่าถ้าสมมุติว่าทั้งบริษัทมี
Total Payroll อยู่ 10 ล้านบาท ปีนี้บริษัทจะต้องคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนไม่ให้เกิน
500,000 บาท
นั่นแปลว่าคนที่มีผลงานในเกณฑ์เฉลี่ยมาตรฐานทั่วไปก็จะได้รับการขึ้นเงินเดือน
5% แต่ถ้าใครมีผลงานดีกว่าเกณฑ์เฉลี่ยก็อาจจะได้ 8% หรือดีเยี่ยมมาก
ๆ ก็อาจจะได้ 10%
เท่า ๆ กับคนที่มีผลงานแย่กว่าเกณฑ์เฉลี่ยก็อาจจะได้ขึ้นเงินเดือน 2-3%
และคนที่ไม่มีผลงานอะไรเลยก็อาจจะไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน!
จากแนวคิดนี้ก็จะนำมาสู่การกระจายของ Normal Curve โดยการขึ้นเงินเดือนตามผลการประเมิน
เช่น....
A=10% B=8%
C=5% D=3% E=0%
แล้วลองคิดดูสิครับว่า..ถ้า Line Manager ไม่ต้องรับผิดชอบการควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีจะเกิดอะไรขึ้น?
ก็ประเมินลูกน้องให้ได้เกรด A หมดทุกคนแล้วส่งผลประเมินมาที่
HR ไงล่ะครับ!!
แน่นอนว่าพอ
HR เห็นผลประเมินอย่างนี้มันเกินงบฯ ก็จะต้องส่งผลกลับไปให้ Line
Manager ตัดเกรดใหม่โดยพูดถึง Normal Curve ว่าจะต้องให้คนส่วนใหญ่มีผลประเมินอยู่ในค่าเฉลี่ยคือ
C และต้องมีส่วนน้อยถูกประเมินในเกรด A หรือ B คือคนที่มีผลงานดีกว่าเกณฑ์เฉลี่ย
และก็อาจจะมีพนักงานส่วนน้อยที่ถูกประเมินในเกรด D หรือ E
คือคนที่มีผลงานต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย
แล้วถ้า Line Manager ไปบอกกับลูกน้องว่า “พี่ประเมินน้อง
ๆ ของพี่ให้ได้ A หมดทุกคนแหละเพราะน้องพี่เก่งยอดเยี่ยมทุกคน
แต่ HR บอกว่าเกินงบให้พี่ตัดเกรดน้องลงเป็น C เป็นส่วนใหญ่นะ พี่ก็ต้องทำตามนโยบาย ไม่รู้มันจะหวงเกรดอะไรกันนักหนา มีปัญหาอะไรก็ไปถาม
HR เองก็แล้วกัน”
นี่คือปัญหาสำหรับองค์กรที่ยังไม่จัดสรรงบประมาณขึ้นเงินเดือนไปให้
Line
Manager บริหารจัดการ แล้วยังคงให้ HR เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมงบประมาณแบบนี้อยู่ก็คงจะต้องเจอปัญหาดราม่าแบบนี้ไปเรื่อย
ๆ และ HR ก็จะถูกด่าเรื่องหวงเกรดอยู่ทุกปีแหละครับ
เพราะ
Line
Manager ไม่ต้องรับผิดชอบในการควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนนี่ครับถึงได้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น
เพราะฉะนั้นวิธีที่ควรทำคือควรจะต้องจัดสรรงบประมาณขึ้นเงินเดือนประจำปีไปให้แต่ละหน่วยงานรับผิดชอบและทำหน้าที่ทั้งประเมินผลการปฏิบัติงานพนักงานของตัวเอง
แล้วก็เป็นคนใส่เงินเดือนให้กับลูกน้องของตัวเองตามผลการปฏิบัติงานที่ประเมินไป
และที่สำคัญคือต้องไม่เกินงบประมาณที่ให้ไป
หัวหน้าจึงควรจะต้องมีส่วนร่วมในการควบคุมงบประมาณขึ้นเงินเดือนและให้คุณให้โทษลูกน้องของตัวเอง
ไม่ใช่ยกหน้าที่นี้ไปให้ HR
หรือ MD เป็นคนไปตัดสินใจแทนหัวหน้า เพราะ HR
หรือ MD ไม่มีทางไปรู้รายละเอียดการทำงานของพนักงานดีกว่าหัวหน้าโดยตรงหรอกครับ
ยกตัวอย่างเช่น ฝ่ายผลิตมีเงินเดือนของพนักงานในฝ่ายผลิตรวม 500,000
บาท ถ้าบริษัทบอกว่างบประมาณขึ้นเงินเดือนปีนี้ของบริษัทคือ 5%
ฝ่ายผลิตก็จะต้องไปประเมินผลการทำงานของพนักงานในฝ่ายผลิตแล้วหยอดเงินเดือนให้พนักงานในฝ่ายของตัวเองให้สัมพันธ์กับผลการประเมินแต่ตัองไม่เกินงบประมาณที่บริษัทจัดสรรไปให้คือ
25,000 บาท
ถ้าจะว่าไปแล้ว
การจัดสรรงบประมาณประจำปี (ตามตัวอย่างข้างต้น) ให้กับหัวหน้าแต่ละหน่วยงานพิจารณาให้คุณให้โทษลูกน้องของตัวเอง
ก็เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์แหละครับ
เพราะหลักเศรษฐศาสตร์จะบอกว่าทรัพยากรที่มีอยู่ในโลกนี้ล้วนมีอยู่อย่างจำกัด
(งบประมาณขึ้นเงินเดือนก็เช่นกัน) ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แต่คงไม่สามารถทำให้คนทุกคนพึงพอใจมากที่สุดได้หรอก
Normal Curve จึงเป็นเครื่องมือหนึ่งในการบริหารจัดการงบประมาณที่เป็นทรัพยากรที่มีจำกัดที่
Line Manager ทุกฝ่ายจำเป็นต้องใช้ครับ
…………………………….