ทุกคนรู้จักความเครียดดีเพราะเป็นสิ่งติดตัวทุกคนมาตั้งแต่เกิด
แต่คนเรามักจะไปมองแต่ในด้านลบเสียเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งโดยหลักสมดุลของโลกแล้วของทุกสิ่งย่อมมีสองด้านใหญ่ ๆ คือด้านบวกและด้านลบ เรามาลองดูกันไหมครับว่าทั้งด้านบวกและลบของความเครียดมีอะไรกันบ้าง
1.
อิทธิพลของความเครียดในด้านบวก ก็คือความเครียดจะเป็นตัวช่วยควบคุมการกระทำของมนุษย์ให้มีความกระตือรือร้น
มีความตื่นเต้น กับงานหรือสิ่งที่ต้องการจะทำให้สำเร็จลง
และเมื่อสามารถทำงานหรือภารกิจนั้นให้สำเร็จลงได้ตามแรงกระตุ้นของความเครียดนั้นแล้ว
ก็จะรู้สึกสบายใจ โล่งใจ มีความสุข
เช่น นักกีฬาทุกคนก่อนลงแข่งขันจะมีความเครียดสูงเพราะมุ่งหวังต่อผลสำเร็จคือชัยชนะ
ทุกคนมีความตื่นเต้น
กระตือรือร้นที่จะแข่งขันให้ได้เหรียญเพื่อนำกลับสู่ประเทศไทยให้ได้
บางคนถึงกับกินอะไรไม่ค่อยลงเมื่อก่อนแข่งขันเชียวนะครับ
แต่พอหลังจากการแข่งขันประสบความสำเร็จแล้ว ทุกคนจะมีความสุขที่ผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้โดยเฉพาะคนที่สามารถคว้าเหรียญติดมือกลับมาได้จะรู้สึกว่าคุ้มค่ากับที่ต้องอดทนกับความเครียดจนกระทั่งประสบความสำเร็จในที่สุด
นี่แหละครับอิทธิพลของความเครียดในด้านบวก
2.
อิทธิพลของความเครียดในด้านลบ
ในเรื่องนี้จะกลับกันกับข้อ 1 ครับ นั่นก็คือผลของความเครียดที่เกิดกับมนุษย์นั้น
หากมีความหนักหนามาก หรือคนที่ได้รับความเครียดมีภูมิต้านทานความเครียดไม่เพียงพอ
ก็อาจจะเกิดอาการต่าง ๆ แสดงออกมาให้เห็นได้เช่น
ปวดท้อง , เป็นโรคกระเพาะอาหารหรือลำไส้อักเสบ, เป็นลม, นอนไม่หลับ,
เป็นแผลพุพอง (ร้อนใน) ในปาก ฯลฯ พูดง่าย ๆ
ว่าอิทธิพลของความเครียดในทางลบนี้จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของคนโดยตรงครับ ซึ่งหากคน
ๆ นั้นไม่รู้จักวิธีที่จะลดความเครียดลง
แล้วปล่อยให้เกิดความเครียดสะสมเป็นเวลานาน ๆ
แล้วสุขภาพก็จะพลอยแย่ลงไปตามลำดับครับ
ต้นเหตุของความเครียด
เรามาลองดูกันสิครับว่าต้นเหตุหลัก
ๆ ของความเครียดมีอะไรกันบ้าง ดังนี้ครับ
1. ความต้องการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
(Survival
Stress)
เมื่อมีเหตุการณ์ที่มีแนวโน้มที่จะเป็นภัยต่อคนแล้ว
โดยทั่วไปคนก็จะมีการโต้ตอบกับภัยในสถานการณ์นั้น แบบง่าย ๆ คือ “สู้หรือหนี” เช่น เราเดินถนนอยู่ดี ๆ
ก็มีคนหน้าตาดุดันมาเอามีดจี้แล้วขอเงิน
ซึ่งหากเป็นกรณีกะทันหันก็จะมีฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่เรียกว่าอะดรีนาลีน
หลั่งออกมาโดยอัตโนมัติ
เจ้าฮอร์โมนที่ว่านี่แหละครับที่ทำให้คนตกใจมีกำลังมากกว่าปกติ เช่น
วิ่งเร็วกว่าปกติ หรือ มีแรงยกของหนักกว่าปกติที่เวลาทั่วไปทำไม่ได้ ซึ่งอะดรีนาลีนนี้หากคงอยู่ในร่างกายบ่อย
ๆ หรือนาน ๆ ก็จะมีผลเสียต่อร่างกายด้วยครับ
2.
ความเครียดที่เกิดจากภายในตนเอง (Internally Generated
Stress – Anxiety Stress) สาเหตุของความเครียดแบบนี้จะเกิดจากภายในของคนแต่ละคนเป็นผู้สร้างขึ้นมาครับ
เพราะแต่ละคนจะมีภูมิต้านทานความเครียดไม่เท่ากัน บางคนเป็นคนเครียดง่ายคิดมาก อ่อนไหวง่าย
แถมไม่สามารถควบคุมความคิดของตัวเองได้เสียอีก
เป็นต้นว่าใครพูดอะไรที่ตัวเองไม่ชอบก็จะเก็บเอามาคิดมาเครียดอยู่เป็นวัน ๆ คิดวนไปวนมาเหมือนพายเรือในอ่าง
ซึ่งมักจะเกิดกับคนที่เป็นประเภทใครติไม่ได้หรือศัพท์เทคนิคเรียกว่าพวก Perfectionism
ไงครับ
3.
ความเครียดที่เกิดจากสภาพแวดล้อม (Environmental
Stress)
ความเครียดประเภทนี้มักเกิดจากการที่คนรู้สึกถูกรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของตนเอง
เช่น
สภาพแวดล้อมของบ้านที่อยู่เปลี่ยนแปลงไปด้วยมลภาวะที่มากยิ่งขึ้นเช่นมีฝุ่นละออง ,
รถติด , เสียงดัง ฯลฯ หรือ
ในสถานที่ทำงานถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ทำให้ไม่สะดวกสบายเหมือนแต่ก่อน
หรือมีการปรับปรุงซ่อมแซมที่ทำงานทำให้เกิดมลภาวะมีฝุ่นหรือมีกลิ่นสีทำให้เกิดความเครียดจากสภาพแวดล้อมดังกล่าว เป็นต้น
4.
ความเครียดที่เกิดจากอาหารการกิน หรือสารเคมี
(Nutritional
& Chemical Stress)
ไม่น่าเชื่อนะครับว่าบางครั้งความเครียดก็อาจจะมาจากอาหาร
หรือเครื่องดื่มที่เราปรับประทาน เช่นที่ทำงานเคยเสิร์ฟกาแฟตอนประชุม แต่วันนี้กาแฟหมดทำให้บางคนเกิดความเครียดเพราะขาดคาเฟอีนกระตุ้นร่างกาย เป็นต้น ซึ่งความเครียดว่ามานี้เกิดจากอาหารหรือสารเคมีทำให้มีผลต่อร่างกายครับ
ชีวิตประจำวัน และงานที่มีความสัมพันธ์กับความเครียด
ทีนี้เรามาพูดกันถึงชีวิตประจำวัน
และงานของเรา ๆ ท่าน ๆ ว่ามีความสัมพันธ์กับความเครียดได้อย่างไรกันบ้างนะครับ
1. การทำงานที่มากจนเกินไป
หรือน้อยจนเกินไป
2. ถูกกดดันด้วยเงื่อนเวลา
และมีเส้นตายกำหนด
3. ต้องรับผิดชอบต่อผู้คน
, งบประมาณ หรือ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้
4. เกิดขัดแย้ง
หรือคับข้องใจในสถานภาพของตัวเอง
5. ความต้องการหรือความคาดหวังจากลูกค้า
6. มีปัญหาทางด้านการเงิน
หรือด้านความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
7. สภาพครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไป
เช่น การหย่าร้าง , การแต่งงาน ฯลฯ
เอาล่ะเมื่อเราได้ทราบที่มาและสาเหตุของความเครียดกันไปแล้วเรามาดูว่าแล้วเราจะมีวิธีการจัดการความเครียดกันยังไงในตอนต่อไปนะครับ
…………………………..