เมื่อรถไฟฟ้ามาถึงสถานีแห่งหนึ่งแล้วประตูเลื่อนเปิดออก
ถ้าเราตัดสินใจก้าวผ่านประตูรถไฟฟ้าเข้าไปจะทำให้ชีวิตของเราเป็นไปในแบบหนึ่ง
ถ้าเราไม่ก้าวเข้าไปชีวิตของเราก็อาจจะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง
แต่ไม่ว่าเราจะตัดสินใจก้าวหรือไม่ก้าวผ่านประตูเลื่อนนั้นออกไปก็จะเปลี่ยนชีวิตของเราไปตลอดกาล!
นี่คือความหมายของ Sliding Door กับการตัดสินใจ ซึ่งมาจากหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง
ผมเห็นว่ามีข้อคิดน่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังครับ
จากหนังเรื่อง Sliding Door บอกว่าเมื่อประตูรถไฟใต้ดินเลื่อนเปิดออกแล้วเราก้าวเข้าไปในรถไฟได้ทันเราก็จะมีอนาคตไปแบบหนึ่ง
แต่ถ้าเราก้าวเข้าไปไม่ทันเราก็อาจจะมีชีวิตที่พลิกผันไปอีกแบบหนึ่งที่ต่างไป
อยู่ที่การตัดสินใจของเราที่จะก้าวผ่านประตูเลื่อนทันหรือไม่
และเมื่อตัดสินใจทางใดทางหนึ่งชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนไป
ผมว่าทุกคนก็คงจะต้องเคยเจอ Sliding door ที่เปิดออกแล้วเราต้องตัดสินใจกันมาแล้วทั้งนั้น
บางคนตัดสินใจก้าวผ่านบานประตูนี้ไปแล้วก็พบกับความสำเร็จ
ชีวิตดี๊ดี แฮปปี้มีสุขจนคนอิจฉา
จนบางครั้งเจ้าตัวก็เคยคิดว่าถ้าเราไม่ตัดสินใจแบบในวันนั้น
เราก็คงไม่มีวันนี้
เมื่อราว
ๆ ปี 2533
ก่อนที่ผมจะลาออกจากธนาคารแห่งหนึ่งที่ทำงานมาเกือบ 9 ปี
จนตำแหน่งสุดท้ายในธนาคารนี้ผมเป็นหัวหน้าหน่วย(เทียบเท่าสมุหบัญชีของสาขา)ผมก็ได้ไปสมัครงานกับบริษัทปตท.สผ.ในตำแหน่ง
Personnel Section Head (สมัยนั้นยังไม่มีคำว่า “HR” นะครับ) ซึ่งผมก็ต้องไปทดสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ตามขั้นตอนปกติจนกระทั่งทางฝ่ายบุคคลแจ้งผลมาที่ผมว่าผมสอบผ่านและนัดหมายให้ผมไปเซ็นสัญญาจ้างซึ่งตอนนั้นผมก็ดีใจแหละครับ
ดูเหมือนประตูเลื่อนเริ่มเปิดสำหรับผมแล้วและผมก็เตรียมก้าวผ่านประตูนี้ไปสู่องค์กรที่ดีมาก
ๆ
แต่....
พอไปเห็นสัญญาจ้างบอกชื่อตำแหน่งเอาไว้ว่า
“Personnel
Supervisor” ผมก็ถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลว่าทำไมตำแหน่งในสัญญาจ้างเป็นตำแหน่งไม่ตรงกับที่ผมสมัครและสัมภาษณ์ล่ะครับ
และตำแหน่งนี้อยู่ตรงไหนในผังของฝ่ายบุคคล
ก็ได้รับคำตอบว่าตำแหน่งนี้เป็นผู้ช่วยของ Personnel Section Head ที่ผมสมัครไปนั่นแหละ
ซึ่งเขาได้คนมาทำในตำแหน่งนี้แล้วก็ให้ผมตัดสินใจตอนนั้นเลยว่าผมจะรับหรือไม่
ตอนนั้นผมก็จำเป็นต้องตัดสินใจเซ็นสัญญาจ้างไปโดยยอมรับตำแหน่งที่ต่ำกว่าที่ผมสมัครไป
เพราะเหตุผลขณะนั้นคือยังไงผมก็ต้องลาออกจากธนาคารที่ทำอยู่ในปัจจุบันแน่นอนเนื่องจากมีข่าวแว่ว
ๆ มาแล้วว่าผมจะถูกย้ายไปทำงานสาขาซึ่งไม่ใช่งานบุคคลอย่างที่ผมรักและอยากจะทำ
แต่พอหลังจากเซ็นสัญญาไปก็เริ่มกลับมาคิดทบทวนใหม่
ใช้เวลาคิดแล้วคิดอีกและหาข้อมูลจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือในวงการบุคคล(ยุคนั้น)ว่าคนที่มาทำงานในตำแหน่ง
Personnel
Section Head นั้นเป็นใคร จนกระทั่งได้ข้อมูลมาว่าคนที่มาทำงานในตำแหน่งนี้น่าจะมีสไตล์การทำงานไม่ตรงกับผม
ผมก็เลยตัดสินใจพิมพ์หนังสือขอสละสิทธิในการทำงานพร้อมทั้งขอโทษไปยังบริษัทปตท.สผ.ส่งไปที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ในสมัยนั้นและแนบสำเนาสัญญาจ้างกลับคืนไปให้ทางบริษัท
หลังจากผมตัดสินใจไม่ก้าวผ่านประตูเลื่อนบานนี้ไปแล้วเวลาไปพูดคุยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังจะมีแต่คนบอกกับผมเป็นทำนองว่าน่าเสียดาย
องค์กรนี้มีแต่ใคร ๆ ก็อยากมาทำงานกันทั้งนั้น ทำไมผมถึงตัดสินใจอย่างนี้ ฯลฯ
คือเล่าให้ฟัง 10 คนก็จะถูกทั้ง 10 คนพูดกับผมทำนองนี้ทั้งนั้น จนกระทั่งตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกว่าหรือเราตัดสินใจผิดพลาดไปแล้วจริง
ๆ บางขณะผมก็คิดโทษตัวเองว่าทำไมเราถึงใจร้อนรีบปฏิเสธเขาเร็วเกินไป, เราคิดมโนไปเองหรือเปล่าว่าเราทำงานร่วมกับ
Personnel Section Head ไม่ได้ ทำไมเราถึงไม่ลองทำงานกับเขาดูก่อนล่ะ
ฯลฯ
แต่คิดยังไงมันก็ทำให้เวลาย้อนกลับไม่ได้แล้วล่ะครับ
เพราะผมตัดสินใจที่จะไม่ก้าวผ่านประตูเลื่อนนั้นมาแล้ว!
หลังจากนั้นผมก็ได้งานเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลอีกบริษัทหนึ่งซึ่งมีหัวหน้าที่ดีมากคอยช่วยเหลือสนับสนุนการทำงานผมทุกอย่าง
แต่พอทำที่นี้ได้เพียงปีเดียวผมก็เจอประตูเลื่อนบานใหม่เปิดออกคือทางธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์
ประเทศไทยต้องการ Compensation & Benefits Manager โดยพี่ที่ผมรู้จักท่านหนึ่งเป็นคนโทรมาบอกผมว่าผมทำได้ไหม
ผมก็บอกว่าทำได้ครับเพราะตอนที่อยู่ธนาคารเดิมก็ต้องทำงานด้านนี้ด้วยอยู่แล้ว ในที่สุดทางธนาคารแห่งนี้ก็ตอบรับผมเข้าทำงานในตำแหน่ง
Com & Ben Manager
ตอนที่จะตัดสินใจนี่ก็ยากครับที่จะต้องเลือกระหว่างการอยู่ในบริษัทเดิมที่มีหัวหน้าที่ดีเป็นเหมือนพี่ที่เราทำงานด้วยแล้วสบายใจมาก
กับการกระโดดมาที่ใหม่ในองค์กรต่างชาติที่เงินเดือนสูงมากสวัสดิการดีมากแต่ทำงานหนักและโหด
(เมื่อเข้ามาทำงานแล้วต้องหยอดน้ำเกลือปีละประมาณ 1-2 ครั้ง)
แต่จะได้ประสบการณ์ทั้งเรื่อง Com & Ben ที่แตกต่างจากองค์กรไทย
ๆ ที่ผมเคยทำงานมา การไปทำงานร่วมกับฝ่ายบุคคลในสิงคโปร์ รวมไปถึงงานอื่น ๆ
ที่ผมไม่เคยทำมาก่อนอีกมากมายหลายเรื่อง
(ซึ่งมารู้ภายหลังจากเข้ามาทำงานที่ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์แล้ว)
หลังจากการคิดทบทวนหลายรอบมากนอนไม่หลับอยู่หลายคืนเพราะคิดวนเวียนว่าควรจะอยู่ที่เดิมดีหรือจะไปที่ใหม่ดี
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจก้าวผ่านประตูเลื่อนบานใหม่บานนี้ไปที่ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ประเทศไทยและทำงานอยู่ที่นี่
4 ปีซึ่งจะว่าไปผมก็คิดว่านี่อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมตัดสินใจถูกแม้ว่าในการทำงานที่นี่จะมีเรื่องราว
Behind the scenes ในอีกสี่ปีหลังจากนี้ที่จะทำให้ผมต้องตัดสินใจลาออกโดยใช้เวลาไม่เกิน
3 วินาทีเพราะคำพูดบางคำของหัวหน้า
ทำให้ผมยอมทิ้งรายได้เดือนละหกหลักทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้งานใหม่
แต่ประสบการณ์จากที่นี่กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมนำมาเขียนเป็นหนังสือเกี่ยวกับการบริหารค่าตอบแทนหลายเล่มออกมาเพื่อแชร์ความรู้และประสบการณ์ให้กับคนสนใจในเรื่องนี้
และทำให้ผมมีอาชีพเป็นวิทยากรและที่ปรึกษาด้านนี้ในปัจจุบัน
ข้อคิดในเรื่องนี้คือเมื่อถึงเวลาที่
Sliding
Door ในชีวิตของเราเปิดออกก็ควรคิดให้ดีคิดให้รอบคอบด้วยเหตุด้วยผลก่อนตัดสินใจ
และเมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องเดินหน้าแม้ว่ามันอาจจะไม่ดีเหมือนที่เราคาดหวังอย่าไปมัวเสียดายหรือไปคิดโกรธโทษตัวเองหรือโทษคนอื่น
แต่ควรจะอยู่กับปัจจุบันและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ส่วนผลจะเป็นยังไงก็ต้องพร้อมที่จะรับเพื่อเป็นบทเรียนและประสบการณ์ของเราต่อไปครับ
…………………………………