วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ทฤษฎีของมาสโลว์กับความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของ “คน”


            วันนี้ผมพาท่านย้อนยุคกลับไปสมัยลงทะเบียนวิชาจิตวิทยา 111 อีกครั้งเพื่อจะได้ทำความเข้าใจในเรื่องความต้องการของคนที่ไม่มีวันสิ้นสุดเผื่อจะได้ทำให้ทั้งหัวหน้างานและคนที่ทำงานด้าน HR จะได้เข้าใจและทำใจเมื่อจะต้องไปบริหารคน

หวังว่าท่านที่เคยเรียนเรื่องนี้มาแล้วคงยังไม่เบื่อที่จะอ่านซ้ำนะครับ

            อับราฮัม ฮาโรล มาสโลว์ (Abraham Harold Maslow- พศ.2451-2513) หัวหน้าภาควิชาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Brandeis (แบรนดีส์) นำเสนอทฤษฎีลำดับความต้องการ (Hierarchy of Needs Theory) ที่โด่งดังในเวลาต่อมา

มาสโลว์บอกว่าคนเราจะมีความต้องการทั้งหมดอยู่ 5 ระดับคือ

1.      ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs) ซึ่งถือว่าเป็นความต้องการระดับพื้นฐานขั้นต่ำสุดของคน นั่นคือคนเราจะต้องการปัจจัยสี่ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ดังนั้นคนเราจึงทำงานหาเงินมาเพื่อให้มีปัจจัยสี่และยังรวมไปถึงต้องการให้มีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เหมาะสม เช่น สภาพแวดล้อมในการทำงานที่เหมาะสม, ความสะอาด, แสงสว่าง, การระบายอากาศ สถานที่ทำงานถูกสุขลักษณะด้วย ข้อคิดในเรื่องนี้ก็คือวันนี้องค์กรของท่านได้สนองความต้องการของพนักงานในระดับพื้นฐานบ้างแล้วหรือยัง สถานที่ทำงานมีสภาพแวดล้อม, ความสะอาด, ความปลอดภัยน่าทำงานมากน้อยแค่ไหน เพราะนี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่พนักงานเข้าใหม่ลาออกเพราะสถานที่ทำงานไม่น่าทำงานก็เป็นไปได้นะครับ

2.      ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) เมื่อความต้องการทางร่างกายได้รับการเติมเต็มแล้ว คนก็จะมีความต้องการในระดับที่สูงขึ้นคือต้องการความปลอดภัย, ต้องการความมั่นคงในการทำงาน, มีความปลอดภัยในการทำงานมากยิ่งขึ้นเช่นมีการประกันชีวิตและอุบัติเหตุสำหรับพนักงาน, การมีกฎระเบียบในการทำงานที่ยุติธรรม, ไม่ถูกเลิกจ้างถูกลอยแพได้ง่าย ๆ คำถามในข้อนี้คือในองค์กรของท่านได้สร้างความปลอดภัยในการทำงานให้กับพนักงานแล้วหรือยัง, มีกฎระเบียบคำสั่งใดที่เอารัดเอาเปรียบพนักงานหรือไม่, จ่ายเงินเดือนตรงเวลาหรือเปล่า ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ก็มักจะเป็นต้นเหตุของปัญหาในเรื่องคนได้อยู่เสมอ

3.      ความต้องการทางสังคม (Social Needs) เมื่อคนเราได้รับความปลอดภัยในชีวิตในการทำงานดีแล้ว มาสโลว์บอกว่าคนเราจะต้องการในเรื่องที่สูงขึ้นไปอีก นั่นคือจะต้องการมิตรภาพ, ความรัก, เพื่อนฝูง, การยอมรับต้อนรับจากสังคม, การได้รับความชื่นชมจากคนรอบข้าง จากตรงนี้ถ้าองค์กรไหนสามารถสร้างกิจกรรมชมรมต่าง ๆ เพื่อให้พนักงานมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันแบบนันทนาการก็จะสามารถสร้างความผูกพันระหว่างคนและองค์กรเอาไว้ได้เหมือนกันนะครับ สำหรับองค์กรที่มีมิติเดียวคืองาน..งาน..และงานควรหันกลับมาให้ความสนใจและให้ความสำคัญในเรื่องนี้เอาไว้ด้วย

4.      ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียงและการยกย่อง (Self Esteem) มาสโลว์บอกว่าเมื่อคนได้รับมิตรภาพและได้รับการยอมรับให้เข้ากลุ่มแล้ว คนจะต้องการในสิ่งที่สูงมากขึ้นไปอีก นั่นคือต้องการสร้างสถานภาพของตัวเองให้สูงเด่นยิ่งขึ้น เช่น ต้องการได้รับการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งที่สูงมากยิ่งขึ้น, การได้รับโล่ห์เหรียญหรือรางวัลยกย่องเชิดชูความรู้ความสามารถ, การได้รับความเคารพ, ได้รับการปรับเงินเดือนเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นคนที่มีความสามารถ, ได้รับโอกาสให้ทำงานชิ้นสำคัญเพื่อแสดงฝีมือจนเกิดการยอมรับ ฯลฯ ซึ่งหัวหน้างานหรือผู้บริหารที่เข้าใจในความต้องการของคนในระดับนี้ก็จะสร้างระบบรางวัลเพื่อจูงใจ (Recognition Reward) คนที่มีความรู้ความสามารถ เอาไว้ให้อยู่กับองค์กร คำถามคือในองค์กรของท่านมีระบบเหล่านี้บ้างหรือยัง?

5.      ความต้องการเติมเต็มศักยภาพของตนเอง (Self-Actualization Needs) ความต้องการระดับนี้มาสโลว์บอกว่าเป็นความต้องการระดับสูงสุดของคน นั่นคือต้องการจะทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งหมดของตัวเองให้ได้ในสิ่งที่ตนเองปรารถนาไว้สูงสุด เช่น ฝันอยากจะเป็นเจ้าของกิจการก็จะมุ่งมั่นทำตัวเองให้ได้เป็นเจ้าของกิจการสำเร็จได้อย่างที่ฝันไว้ หรือฝันอยากจะเป็นเบอร์หนึ่งขององค์กรก็จะพยายามทำให้ตัวเองได้ก้าวขึ้นมายืนในตำแหน่งหมายเลขหนึ่งขององค์กรให้ได้ เป็นต้น

            แต่...มีคนอีกไม่น้อยที่เคยฝันว่าอยากเป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ ก็พอใจแล้ว แต่เมื่อได้เป็นเจ้าของกิจการแล้วก็เริ่มคิดอยากจะขยายกิจการขยายสาขาไปเรื่อย ๆ

            บริษัทจ่ายโบนัสให้ 4 เดือนเมื่อปีที่แล้ว แต่พอปีนี้ได้โบนัสเท่าเดิมพนักงานก็อยากจะขอเพิ่มขึ้นเป็น 5 เดือนเพราะโรงงานข้าง ๆ เขาจ่ายโบนัส 5 เดือน

            หรือให้เท่าไหร่ทำไมไม่ถึงใจคนรับสักที

            ฯลฯ

         จะมีสักกี่คนที่จะบอกว่า “พอแล้ว” ?

             ผมว่าสิ่งเหล่านี้คงขึ้นอยู่กับกิเลสในใจของแต่ละคนว่าจะมีมากน้อยแค่ไหนมั๊งครับ

            ดังนั้นถ้าคนที่เป็นหัวหน้า ผู้บริหาร และ HR เข้าใจถึงความต้องการของคนได้ดีขึ้นตามแนวคิดของมาสโลว์แล้วจะได้เตรียมปรับความคิด เตรียมทำใจเอาไว้เมื่อจะต้องไปบริหารคนหรือไปทำงานกับผู้คนว่า....

คน..มีแนวโน้มจะมีความต้องการอย่างไม่สิ้นสุดหรือได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ

และจะมีแนวโน้มที่จะขยายความต้องการเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ ได้เท่านี้ก็ต้องการจะได้เพิ่มขึ้นไปอีก

ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมอันนี้จะได้หาวิธีการบริหารความต้องการของคนในแต่ละกลุ่มให้เหมาะสมที่สุดในแต่ละสถานการณ์ โดยไม่มามัวนั่งบ่นหรือเซ็งใจว่าทำไมคนนั้นเป็นอย่างงั้นคนนี้เป็นอย่างงี้ ทำไมให้เท่าไหร่ไม่รู้จักพอเสียที ฯลฯ

            ก็เพราะว่าคนมักจะมีความต้องการแบบไม่สิ้นสุดนี่เองเราถึงต้องเรียนรู้การบริหารจัดการความไม่เคยพอของมนุษย์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องให้ทุก ๆ คนพอใจและการบริหารความไม่เคยพอของคนก็ไม่มีสูตรสำเร็จเสียด้วย ข้อตกลงที่ทำไปเมื่อปีที่แล้วอาจจะใช้ไม่ได้ผลในปีนี้ก็ได้

          งานที่เกี่ยวกับการบริหาร(ความต้องการของ)คนถึงได้มีเสน่ห์ตรงนี้ยังไงล่ะครับ

................................