ผมเคยเขียนเรื่องผลกระทบของการปรับค่าจ้างขั้นต่ำกับการขึ้นเงินเดือนประจำปีเฉลี่ยปีละ
5 เปอร์เซ็นต์ไปแล้วโดยชี้ให้เห็นว่าเมื่อเราเปรียบเทียบระหว่างเปอร์เซ็นต์การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำรวมกับอัตราเงินเฟ้อแล้วจะมีมากกว่าเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนประจำปีโดยเฉลี่ยของบริษัทดังภาพนี้
จากภาพข้างต้นในช่องขวาสุดท่านจะเห็นได้ว่าพนักงานจะได้รับการขึ้นเงินเดือนจริง
(เมื่อหักเปอร์เซ็นต์การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและเงินเฟ้อ) ในปี 2560=1 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2561= -1 เปอร์เซ็นต์
(ผมปัดเศษนะครับเพราะ 0.8 ก็คือ 1 เปอร์เซ็นต์นั่นแหละ)
เนื่องจากค่าจ้างขั้นต่ำมีหลายอัตราผมก็เลยขอใช้อัตราในกทม.เป็นหลักในการอ้างอิงนะครับ
สำหรับในปี 2562 คือปีหน้าผมก็พยากรณ์ว่าเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนประจำปีเฉลี่ยของบริษัทต่าง
ๆ ก็จะใกล้เคียงกับหลายปีที่ผ่านมานี้คือประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม ส่วนเปอร์เซ็นต์การปรับค่าจ้างขั้นต่ำก็น่าจะอยู่ประมาณ 5
เปอร์เซ็นต์และอัตราเงินเฟ้อก็ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
ถ้าจะถามว่าทำไมถึงพยากรณ์แบบนี้?
ก็ตอบได้ว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในบ้านเราก็ไม่ได้มีอะไรที่หวือหวาแตกต่างไปจากปีที่แล้วมากนัก
ไม่ได้ดีขึ้นแบบหน้ามือเป็นหลังมือและยังมีทุกอย่างอยู่ในลักษณะ Sideways แบบทรง ๆ ตัว
ดังนั้นทุกอย่างจึงมีแนวโน้มจะใกล้เคียงกับปีที่แล้วแหละครับ
นี่หมายถึงว่าถ้าไม่มีการหาเสียงแบบประชานิยมที่สัญญาว่าจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำแบบกระโดดขึ้นไป
40 เปอร์เซ็นต์เหมือนเมื่อปี 2554-55 นะครับ
อันนั้นเป็นเรื่องที่นอกเหนือจากเหตุผลปกติแล้วครับ
ที่ผมบอกมานั้นจะจริงหรือไม่..ใช่หรือมั่วก็ต้องมาดูกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้รู้กัน
และถ้าเป็นอย่างที่ผมคาดการณ์ท่านก็จะเห็นว่าช่องขวามือสุดเมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วพนักงานก็จะได้รับการขึ้นเงินเดือนประปี
2562
ในอัตราติดลบ 1 เปอร์เซ็นต์เหมือนปี 2561
ครับ
แล้วบริษัทจะมีวิธีรับมือเรื่องเหล่านี้ยังไง?
1.
ขึ้นเงินเดือนประจำปีให้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด เช่น 8-9
เปอร์เซ็นต์เพื่อรักษาคนที่มีผลการปฏิบัติงานตามค่าเฉลี่ย
(คือผลประเมินเกรด C) ส่วนใหญ่เอาไว้ถ้าบริษัทมีขีดความสามารถในการจ่ายไหว
ซึ่งก็จะทำให้โดยเฉลี่ยพนักงานจะได้รับเงินติดกระเป๋ามากกว่าตลาด 2-3 เปอร์เซ็นต์ แต่บริษัทก็จะต้องมี Staff Cost เพิ่มขึ้น
ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทไหนมีขีดความสามารถในการจ่ายซักแค่ไหน
2.
ปรับเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษให้กับพนักงานที่ทำงานในตำแหน่ง
Key
Position ที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่นตามเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อรักษาพนักงานเหล่านี้เอาไว้
ถ้าหากลาออกไปก็จะหาคนมาทดแทนได้ยากหรือต้องใช้เวลานานในการฝึกและพัฒนาเพื่อให้เข้าใจงานและสามารถปฏิบัติได้
ซึ่งวิธีนี้ก็จะมีผลกระทบคือต้องระวังว่ามีการใช้อคติในการปรับเงินเดือนให้กับบางคนที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมแต่ได้ปรับเพราะเป็น
“ลูกรัก” ของผู้บริหารบางคน หรือใช้ระบบเส้นสาย
และพนักงานที่ไม่ได้รับการปรับเงินเดือนก็จะมีปัญหาไม่พอใจ
3.
เพิ่มเงินช่วยเหลืออื่น ๆ
นอกเหนือจากเงินเดือน เช่น ค่าครองชีพ, ค่าอาหาร, ค่าจูงใจ,
ค่าพาหนะ, ค่าตำแหน่ง ฯลฯ เพื่อชดเชยเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนที่ติดลบ
ในทางจิตวิทยาพนักงานก็จะรู้สึกว่าบริษัทยังมีเงินช่วยเหลืออื่น ๆ
ที่มากกว่าตัวเงินเดือนมูลฐานเพียงตัวเดียว แต่วิธีนี้ก็จะทำให้บริษัทมี Staff Cost เพิ่มขึ้น อีกเรื่องหนึ่งคือเงินอื่น ๆ เหล่านี้บางตัวอาจจะถูกตีความเป็น
“ค่าจ้าง” ตามกฎหมายแรงงานซึ่งจะต้องนำไปรวมเป็นฐานในการคำนวณโอที, ค่าชดเชย,
ค่าบอกกล่าวล่วงหน้าด้วยครับ
4.
เพิ่มโบนัสแบบ Incentive ตามผลงานซึ่งจะไม่ผูกพันกับเงินเดือนและจะมีผลในเชิงจิตวิทยาสำหรับพนักงานว่าจ่ายโบนัสเยอะ
ซึ่งวิธีการจ่ายโบนัสมากแต่ฐานเงินเดือนต่ำมักจะเป็นกลยุทธ์ด้านค่าตอบแทนของหลายบริษัท
ซึ่งจะขึ้นอยู่กับผลการปฏิบัติงานของพนักงานเป็นรายบุคคลตามการประเมินของหัวหน้า
และไม่ถูกตีความเป็นค่าจ้าง รวมทั้งอาจจะใช้วิธีการจ่ายโบนัสที่บ่อยกว่าการจ่ายปีละครั้ง
เช่น การจ่ายโบนัส 2
ครั้งต่อปี 3 ครั้งต่อปี (ทุก 4 เดือน) หรือจ่ายแบบรายไตรมาส เป็นต้น
ทุกครั้งที่มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ
คนที่เป็น Compensation
Manager จะต้องไปดูว่ามีผลกระทบไปถึงอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิต่าง ๆ
สำหรับคนจบใหม่แล้วหรือยัง
ควรจะต้องปรับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิให้หนีผลกระทบค่าจ้างขั้นต่ำหรือไม่
ถ้าปรับอัตราเริ่มต้นตามคุณวุฒิใหม่จะมีผลทำให้ Staff Cost ในการรับคนใหม่ในปีงบประมาณหน้าเพิ่มขึ้นมาเท่าไหร่
จากผลกระทบดังกล่าวจะต้องมีการปรับเงินเดือนพนักงานเก่าที่เข้ามาด้วยอัตราจ้างเดิมหรือไม่
ถ้าจำเป็นต้องปรับเงินเดือนคนเก่าเพื่อรักษาคนเก่าเอาไว้จะปรับด้วยสูตรไหนวิธีไหน
มีหลักเกณฑ์ในการปรับยังไง ฯลฯ
จากที่ผมยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้คงจะพอทำให้ท่านที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มีไอเดียนำไปคิดต่อยอดเพื่อวางแผนรับมือกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและขึ้นเงินเดือนประจำปีของบริษัทในปีต่อไปได้บ้างแล้วนะครับ
………………………………….